SAMSUNG mZine แอพลิเคชั่นดี ๆ สำหรับหนอน(หนังสือ)ไฮเทค เอกสิทธิ์เฉพาะลูกค้า SAMSUNG

เดือนนึงจ่ายเงินสำหรับซื้อนิตยสารและหนังสือพิมพ์กันเดือนละเท่าไหร่?
สมัยนี้นิตยสารราคาแพงนะ เล่มนึงราคาไม่ต่ำว่าร้อย
ถึงนิตยสารบางหัวจะเล่มหนาเป็นปึก แต่เนื้อหากลับน้อยนิด เพราะข้างในเล่มเต็มไปด้วยโฆษณา
แต่ก็ต้องเข้าใจหัวอกคนทำนิตยสารสมัยนี้
เพราะลำพังยอดขายอย่างเดียวคงได้ไม่กี่ตังค์ อาจต้องปิดตัวลง (เหมือนหลาย ๆ หัวที่ปิดตัวไปแล้ว)
ก็ต้องอาศัยพวกค่าโฆษณานี่แหละที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงคอยขับเคลื่อนให้นิตยสารสามารถดำเนินการต่อไปได้
ใครที่ซื้อนิตยสารบ่อย ๆ เก็บกวาดบ้านทีต้องขนไปบริจาคเป็นลัง ๆ หนักอึ้งกันเลยทีเดียว 

ล่าสุดได้ไปร่วมงานเปิดตัว SAMSUNG mZine Blogger Event
แอพพลิเคชั่นดี ๆ สำหรับคนชอบอ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสาร
แถมไม่ต้องจ่ายแพง ๆ อีกต่อไป
เพราะราคาเป็นแบบเหมาจ่ายรายเดือนแบบ All you can read
สมัครรายเดือนไปก็สามารถอ่านนิตยสารและหนังสือพิมพ์ได้กว่า 150 หัว จ่ายแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
(ที่จริงในงานมีเปิดตัว SAMSUNG Galaxy Showtime และ SAMSUNG Galaxy Horoscope ด้วย แต่พระเอกของงานอยู่ที่ SAMSUNG Galaxy mZine)
 แอพพลิเคชั่นนี้สามารถใช้ได้เฉพาะมือถือและแทบเลทของ SAMSUNG
เพราะลองเอา SONY และ Lenovo เสิร์ชหาแอพฯ นี้ใน Google Play ก็ไม่เจอ
แต่พอใช้ SAMSUNG ก็จะเปิดเจอ ให้ทำการดาวน์โหลดและติดตั้ง จากนั้นเปิดแอพฯ ขึ้นมาจะได้หน้าตาแบบนี้
ตัวแอพฯออกแบบมาให้ใช้ง่าย มีการจัดเรียงหน้าให้สะดวกต่อการใช้งานและแบ่งเป็นหมวดหมู่ชัดเจน
สามารถเลือกจาก Tool bar ฝั่งซ้าย
หรือจะหมุนตรงวงล้อบริเวณกลางล่างของจอเลยก็ได้ จะได้พรีวิวปกไปด้วยในตัว และสามารถทำการ Search ชื่อนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ได้เลย
 หมวดหมู่ที่แบ่งไว้จะเป็น
  1. Featured 
  2. New 
  3. Men
  4. Women 
  5. Lifestyle 
  6. Technology
  7. Business
  8. Entertainment 
  9. Fashion 
  10.  Health
  11. Family and Education
  12. Travel and Attraction 
  13. Newspaper
  14. International
  15. Free
ซึ่งแต่ละหมวดหมู่ก็จะมีนิตยสารให้เลือกมากมาย เรียกว่ากวาดมาทั้งแผง
นอกเหนือจากสามารถอ่านนิตยสารและหนังสือพิมพ์เล่มปัจจุบันชนิดที่ว่าอ่านได้พร้อมกับแผงหนังสือทั่วไปแล้วยังสามารถอ่านย้อนหลังได้อีก

สำหรับราคาก็ถูกแสนถูก
มี 3 แพคเกจให้เลือกตามความเหมาะสม

จ่ายเพียง 89 บาท/เดือน สำหรับนิตยสารย้อนหลังทั้งหมด ยกเว้นฉบับล่าสุด
จ่ายเพียง 199 บาท/เดือน  สำหรับนิตยสารฉบับปัจจุบันและย้อนหลังทั้งหมด
 และจ่ายเพียง 299 บาท/เดือน สำหรับนิตยสารฉบับปัจจุบันและย้อนหลังทั้งหมด และหนั
สือพิมพ์
หรือถ้าจะสมัครเป็นรายปีก็มีส่วนลดให้อีกตะหาก

 สามารถเลือกได้ว่านิตยสารที่โหลดมาจะให้เก็บไว้ในหน่วยความจำของเครื่องหรือในเมมโมรี่การ์ด
เรียกได้ว่า SAMSUNG mZine ทั้งถูกและดี แถมยังให้ครบแบบไม่มีกั๊ก เหมาะสำหรับหนอน(หนังสือ)ไฮเทค ที่ชอบอ่านหนังสือแบบ E-book
จ่ายเงินแค่ครั้งเดียวก็อ่านได้แบบไม่อั้น
 สมัครครั้งเดียว สามารถใช้ได้ถึง 4 Devices (ใช้ไปแล้วหนึ่ง ยังเห็นว่าจะเหลือให้ใช้ได้อีก 3)
 ตอนแรกกำลังเล็ง ๆ ว่าจะซื้อ Ipad Mini เอามาไว้ใช้ดูหนังและอ่าน E-book
เพราะดูผ่าน SAMSUNG Galaxy Note2 แล้วไม่ค่อยสะใจ
แต่พอมาเจอ SAMSUNG mZine เข้าถึงกับลังเลเลยทีเดียว
เพราะแอพฯ ตัวนี้ใช้ได้เฉพาะ SAMSUNG เท่านัั้น
อาจจะต้องเปลี่ยนใจไปถอย GALAXY Tab ซักรุ่นมาใช้ในไม่ช้า

มีโปรโมชั่นพิเศษที่ทาง mZine แจ้งมา  

จ่าย  1 เดือนแถม ฟรีไปเลย 1 เดือน และอ่านแมกาซีนและหนังสือพิมพ์ไม่อั้นเพียง 199 บาทเท่านั้น
แต่โปรโมชั่นนี้ พิเศษเฉพาะ 9,000 ท่านแรก 

รู้แล้วก็อย่าช้า โปรโมชั่นดี ๆ แบบนี้ มาเร็วและหมดไวนะจ๊ะ




60 วินาที กับการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยนและสะอาดล้ำลึก ด้วย KURON 5D Brush

เคยมีเพื่อน Beauty Blogger พูดเอาไว้ว่าการเปลือยหน้าออกจากบ้านถือเป็นอาชญากรรมอย่างหนึ่ง
พูดแบบนี้ก็เว่อร์ไปนิด แต่ที่จริงเชื่อว่าทุกคนก็อยากดูดี ออกจากบ้านด้วยใบหน้าสดใสกันทั้งนั้น
ใครพบเห็นก็สดชื่น เจริญหูเจริญตา  ไม่ใช่หน้าดำ หมองคล้ำ เห็นแล้วก็หดหู่

ฺบีบีครีม,ซีซีครีม ถือว่าเป็นตัวช่วยสำคัญอีกตัวช่วยหนึ่งสำหรับคนที่อยากหน้าใสออกจากบ้าน นอกเหนือไปจากการทาครีมกันแดดที่ต้องทาเป็นประจำทุกวันถ้าไม่อยากหน้าไหม้และเป็นฝ้า
ไม่ใช่แต่ผู้หญิงนะ ทั้งชายแท้ชายไม่แท้ก็เห็นมีติดไว้เป็นของคู่กาย กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว

เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ใส่ใจกับขั้นตอนการบำรุงผิวและการแต่งหน้า
แต่จะมีซักกี่คนที่ใส่ใจขั้นตอนทำความสะอาดผิวหน้าตอนกลับมาถึงบ้าน
ทำงานเหนื่อย ๆ ประชุมเครียด ๆ หรือบางทีไปปาร์ตี้ต่อคลายเครียด กลับถึงบ้านก็แทบจะทิ้งดิ่งพุ่งตัวลงบนเตียงแล้ว
ดีไม่ดีบางคนหลับทั้งที่เมคอัพยังเต็มหน้า

หรือหากไม่ใช่คนแต่งหน้าเป็นประจำแต่ใช้ครีมกันแดดทุกวันการทำความสะอาดผิวหน้าก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อก่อนคิดว่าล้างหน้าปกติก็น่าจะพอแล้วสำหรับการล้างครีมกันแดด
ใช้ไปซักพัก เจอปัญหาสิวและผดผื่นบริเวณผิวหน้า ทั้งที่ด้วยวัยขนาดนี้แล้วสิวไม่น่ากล้ามาวุ่นวายด้วย
ไปหาหมอเลยรู้เพราะทำความสะอาดผิวหน้าไม่ดี ทำให้ครีมกันแดดมันสะสมและอุดตันจนเป็นสาเหตุของการเกิดสิวในที่สุด

ไปเจอแปรง KURON 5D Brush  รุ่นใหม่ (คือฉันไปหลบหลังเขาที่ไหนมา ถึงไม่ทันแปรงรุ่นแรก) เจ้าแปรงตัวนี้ทาง KURON เคลมว่าทำความสะอาดผิวหน้าได้ถึง 4 ทิศทาง ช่วยขจัดคราบเครื่องสำอางได้ล้ำลึกถึงรูขุมขนอย่างอ่อนโยน  แถมใช้เวลาไม่นานในการทำความสะอาดผิวหน้า ในราคา 1,990 บาท

โอเค เจอสิ่งที่ใช่และหามานานแล้ว

ปกติก่อนออกจากบ้านทุกวันถ้าไม่ตื่นสายจนต้องรีบลนลานออกจากบ้านจะทาครีมกันแดด ANESSA SPF50+  ของ Shiseido และหากวันไหนที่อยากมั่นใจเป็นพิเศษก็จะทา CC Cream ของ Clinique (ว่าไม่ได้นะ ด้วยวัยขนาดนี้คือต้องมีตัวช่วย จะมาใช้แป้งฝุ่นธรรมดา ๆ คงเอาไม่อยู่แล้ว)
กลายเป็นว่าต้องไปหาซื้อครีมล้างหน้าแบบพิเศษเพื่อล้างครีมกันแดดและ CC Cream
เพิ่มขั้นตอนให้วุ่นวายเข้าไปอีก
ที่จริงก็เพิ่มขั้นตอนขึ้นมาแค่ไม่กี่นาที แต่บทคนมันจะขี้เกียจ แค่ไม่กี่นาทีเพื่อสุขภาพผิวที่ดีก็ทำเป็นเนียน ๆ ลืม ๆ ไม่ใส่ใจ

พูดเลยว่า Oil cleanser ของ CLARINS และ BIODERMA เป็นตัวช่วยในการทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างหมดจดจริง ๆ แต่ก็แลกด้วยขั้นตอนที่เพิ่มขึ้น บางทีเหนื่อย ๆ หรือขี้เกียจก็ทำเป็นเนียนไม่ใช้ ใช้โฟมล้างหน้าอย่างเดียวแล้วคิดเองเออเองว่ามันคงสะอาดแล้วแหละ
จนสุดท้ายก็หมักหมมและเป็นสิว TT
มาแกะกล่องชำแหละ KURON 5D brush กันดีกว่าตัว
ตัวแปรงขนาดพอดีมือ จับกระชับ ไม่ร่วงหล่นง่ายแน่ๆ ถึงจะเป็นพลาสติคก็ตาม
ใช้ถ่าน AAA 3 ก้อนเป็นขุมพลังงานสำหรับการทำให้ตัวแปรงหมุนสีทิศทาง
ขนแปรงไนลอนขนาดเล็กเพียง 0.008 มม. จับดูแล้วนุ่มทีเดียว
มีฝาครอบขนแปรงมาให้ด้วยหลังจากใช้งานเสร็จ ขนแปรงจะได้ไม่งอและเสียหาย
วิธีใช้ก็ง่าย ๆ เลย คือบีบโฟมมูสลงบนแปรงที่เปียกน้ำ จากนั้นก็นำมากดเบา ๆ บนผิวหน้าแล้วก็ลากไปทั่วหน้า ประมาณ 1  นาทีก็ทัั่วหน้า เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการทำความสะอาดผิวหน้าที่สะอาดล้ำลึก
ลืมบอกไปว่าตัวโฟมมูสมี 3 สูตร ขวดสีเขียวจะเป็นตัวที่ออกมาพร้อมกับแปรงรุ่นแรก สีชมพูเป็นสูตรสำหรับคนที่เป็นสิวง่ายและช่วยควบคุมความมัน ส่วนขวดสีม่วงจะมีสารสกัดจากธรรมชาติช่วยลดและป้อนกันริ้วรอย
ด้วยวัยเลยไม่ต้องเลือกเยอะ กดโหวตไปที่สีม่วงรัว ๆ
การสั่นสะเทือนของตัวแปรงให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังนวดหน้า ซึ่งการสั่นสะเทือนนี้แหละที่ทาง KURON บอกมาว่าจะช่วยต่อต้านการเกิดริ้วรอยและกระตุ้นให้เกิดการเสริมสร้างคอลลาเจนให้กับผิว

ขนแปรงขนาดเล็กเพียง 0.008 มม. สามารถซอกซอนให้รูขุมขนสะอาด และการหมุน 4 ทิศทาง คือซ้าย-ขวา บน-ล่าง ก็เหมือนกับเราได้สครับผิวหน้าแบบโอนโยนไปด้วยในตัว

ข้อดีที่ชอบที่สุดของ KURON 5D Brush คือกันน้ำ
ฉะนั้นสามารถอาบน้ำใต้ฝักบัวไปด้วยและใช้ตัว KURON 5D Brush ทำความสะอาดผิวหน้าไปได้พร้อม ๆ กันโดยที่เครื่องไม่พัง

แล้วไม่ต้องกลัวว่าใช้ไปนาน ๆ แล้วขนแปรงจะสกปรก เพราะสามารถถอดมาล้างทำความสะอาดได้ และขนแปรงยังเคลือบสารแอนตี้แบคทีเรียไว้อีกด้วย

สำหรับคนที่ชอบสีชมพู KURON 5D Brush มีรุ่น Limited สีชมพู จำกัดจำนวน 600 ชิ้น วางจำหน่ายที่เซ็นทรัลเท่านั้น หมดแล้วหมดเลย


แล้วทีนี้อย่ามาอ้างว่าไม่มีเวลาทำความสะอาดผิวหน้าก่อนนอน

ปล. ไว้ว่าง ๆ จะอัพเป็นคลิปสาธิตการใช้ KURON 5D Brush จะได้เห็นกันไปจะ ๆ เลยว่า แค่ 60 วินาที ก็สามารถทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างสะอาดหมดจดจริง ๆ





เลเซอร์กำจัดขนถาวร ความเจ็บที่คุ้มค่า @ APEX Profound Beauty

ตื่นเช้ามาเคยรำคาญหนวดบนหน้าตัวเองกันมั๊ย?
เป็นคนขนดก หนวดครึ้ม ต้องโกนหนวดทุกเช้า
แถมโกนไปตอนเช้า บ่าย ๆ เขียวครึ้มอีกละ รำคาญใจมาก ๆ

คนเรามักไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่นะ
เห็นบางคนหน้าใส ๆ ดันอยากมีหนวดมีเครา
ส่วนไอ้คนที่หนวดเคราครึ้มก็ดันอยากหน้าใส ๆ ไร้ขนบ้าง
ได้อย่างมักจะเอาอีกอย่าง โลกมันเลยอยู่ยาก

อ่านเหรื่องเลเซอร์กำจัดหนวดมาเยอะ ศึกษาข้อมูลผ่านอินเตอร์เนท
ปรึกษาเพื่อน ๆ Beauty Blogger หลายคน ลังเลอยู่นาน ทำดีไม่ทำดี
ทั้งหมดทั้งมวลคือกลัวเจ็บ ขนาดทำเลเซอร์ IPL ที่หน้ายังเจ็บแทบทนไม่ไหวขนาดใช้ความแรงน้อยสุด

สุดท้ายเพื่อนเชียร์ แถมรับประกันว่าไม่(ค่อย)เจ็บ
อืมมม ลองก็ได้ จะเจ็บซักเท่าไหร่กันเชียว
แรงบันดาลใจและรายละเอียดขั้นตอนต่าง ๆ โดยละเอียดดูได้จาก คลิปรีวิวเลเซอร์กำจัดขนถาวรโดยพี่ปี่
สำหรับวันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ความเจ็บเท่านั้น ข้อมูลทางเทคนิคต่าง ๆ คิดว่าน่าจะพอหาทางเนทกันได้

เลือกทำที่ APEX Profound Beauty เพราะหาข้อมูลทางเนทแล้วไม่ค่อยมีใครโพสท์เรื่องราวในแง่ลบ
เพราะสมัยนี้โลกกว้างก็จริงแต่ข่าวมันไว อะไรไม่ดีกดแป้นพิมพ์ไม่กี่ครั้งก็กระจายไปทั่วโลกออนไลน์แล้ว
เลือกทำเลเซอร์กำจัดขนถาวรที่ APEX Profound Beauty สาขาสยามพาราก้อน เพราะไปง่าย เดินทางสะดวก
สำหรับราคาแนะนำให้เข้าไปดูที่เวปไซต์ APEX Profound Beauty เพราะทำเลเซอร์กำจัดขนถาวรแต่ละบริเวณราคาไม่เท่ากัน
แต่ตอนนี้มีโปรโมชั่นลด 50% สำหรับคอร์ส 5 ครั้ง พร้อมดูแลเพิ่มอีก 3 ครั้ง ใน 6 เดือน

อันนี้รูปก่อนไปทำเลเซอร์กำจัดหนวด
ตื่นเช้ามาโกนหนวดเรียบร้อย แต่สาย ๆ หน่อยก็เริ่มเขียวครึ้มละ ตกเย็นมานี่หนวดขึ้นเป็นตอเลย

ตอนจองคอร์สแจ้งพนักงานไปว่าหนวดหนามาก พนักงานให้มาก่อนเวลา 30 นาที เพื่อเผื่อเวลาทายาชา เอ๊ะ ยังไง ไหนดูจาก คลิปรีวิวเลเซอร์กำจัดขนถาวรโดยพี่ปี่ บอกว่าแป๊บเดียวเสร็จ แอบแว๊บไปตอนพักเที่ยงยังได้เลย

ถึง APEX Profound Beauty สาขาสยามพาราก้อน ตามเวลานัด ไปถึงปุ๊บพนักงานให้เข้าไปห้องทรีทเม้นท์ จากนั้นก็เริ่มทายาชา (มีโกนหนวดเพิ่มเติมให้เล็กน้อย) ทาเสร็จเอาพลาสติกมาแปะไว้ จะได้ไม่เลอะเทอะ
 

ตอนแรกพนักงานบอกว่าแปะ 30 นาที แต่พอมาเห็นสภาพหนวดแล้ว พนักงานบอกว่าทายาชาทิ้งไว้ 40 นาทีเถอะพี่ หนูกลัวว่าพี่จะเจ็บ แล้วมันจะยิงเลเซอร์ไม่สะดวก เพราะต้องทิ้งระยะนาน ๆ
เอ่อมมมม พูดขนาดนี้ ทาซักชั่วโมงก็ได้ พี่ไม่รีบ แต่พี่กลัวเจ็บ

พอครบเวลาพนักงานก็เช็ดยาชาออก ตรงบริเวณที่ทายาชาจะไม่มีความรู้สึกแล้ว ปากจะตุ่ย ๆ บวม ๆ
ขั้นตอนต่อไปพนักงานจะเอาแว่นมาปิดตา เพราะกันไม่ให้แสงเลเซอร์ทำอันตรายดวงตา
จากนั้นก็เริ่มขั้นตอนยิงเลเซอร์ โดยจะเอาแท่งเย็น ๆ มานาบบริเวณที่จะยิงเลเซอร์ประมาณ 5-10 วินาที จากนั้นก็เริ่มยิงที่ละช๊อตไปเรื่อย ๆ

เนื้อหาสำคัญของ Blog นี้จะเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ที่อ่านมาข้างต้นนั้นแค่น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหลงเหลง
จะบอกว่าตอนยิงครั้งแรก ตกใจ เพราะเสียงดังเพี๊ยะ อารมณ์ประมาณเหมือนหนังยางดีดไปที่หน้า
ถามว่าเจ็บมั๊ย ตอบได้เลยว่าเจ็บ ขนาดทายาชาแล้วนะ แต่เจ็บไม่มาก ไม่ได้ถึงขนาดไม่มีความรู้สึกเลย
นอกจากความเจ็บแปล๊บ ๆ แล้ว จะมีกลิ่นของหนวดที่ไหม้เพราะเลเซอร์
(ระหว่างที่พนักงานยิงเลเซอร์ไปเรื่อย ๆ ก็ได้แต่แอบงอนพี่ปี่ในใจ ไหนบอกว่าไม่เจ็บ TT)

ตอนยิงครั้งแรก ๆ อาจจะเพราะยังไม่ชิน หรืออาจจะเป็นเพราะตกใจ เลยเหมือนเจ็บมาก
แต่พอทำไปได้ซักพักจะเริ่มชิน เหมือนกันร่างกาบยเรารับได้แล้วว่าจะเจอความเจ็บระดับไหน
แถมน้องพนักงานที่ยิงเลเซอร์หนวดให้ก็ชำนาญมาก ยิงเลเซอร์สลับกับประคบเย็นเป็นจังหวะ
และก็อธิบายให้ความรู้เรื่องเลเซอร์กำจัดขนถาวรไปด้วย แถมชวนคุยเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้เราเกร็ง ๆ

ยิงเลเซอร์ไปได้ครึ่งทางเริ่มชินแล้ว แต่ถามว่าเจ็บมั๊ย ตอบได้เลยว่าก็ยังเจ็บอยู่นั่นแหละ
ด้วยความที่หนวดเยอะ เลยทำให้ดูดแสงเลเซอร์ได้ดี เลยเจ็บกว่าคนที่หนวดน้อย

ลืมบอกไปว่าทำเลเซอร์กำจัดขนถาวรครั้งนี้ทำเฉพาะบริเวณหนวดรอบ ๆ ปาก
เว้นตรงช่วงเคราและใต้คางไว้ เพราะอยากเห็นความแตกต่างว่าก่อนและหลังทำมันจะต่างกันมากหรือไม่

บริเวณที่เจ็บที่สุดคือตรงกลางหนวด ยิงทีเจ็บจนแทบน้ำตาเล็ด  แต่สำหรับบริเวณอื่นก็ชิล ๆ ไม่ได้เจ็บมากมายอะไร พนักงานก็ยิงเลเซอร์ไปเรื่อย ๆ สลับกับประคบเย็นไปเรื่อย ๆ

ประมาณ 20 นาทีก็เสร็จ ตอนแรกแอบงงว่าเสร็จแล้วเหรอ เหมือนยิงไม่ค่อยทั่วเลย
พนักงานเหมือนรู้ทัน อาจเพราะมีคนเคยถามเรื่องนี้ยเอะ เลยอธิบายว่า ยิงเลเซอร์แต่ละทีแสงจะกระจายไปทำลายหนวดที่ชั้นใต้ผิดเป็นวงกว้าง เพราะฉะนั้นการยิงเลเซอร์เลยเป็นการยิงแบบกระจายไปทั่ว ๆ ไม่ถึงขั้นต้องมานั่งไล่ยิงที่ละเส้นทีละกระจุก

หลังจากยิงเลเซอร์เสร็จแล้ว บริเวณหนวดที่ยิงเลเซอร์ไปจะแสบร้อนนิด ๆ พนักงานก็จะเอาเจลเย็นมาประคบให้ เพราะลดอาการระคายเคือง
เพราะการยิงเลเซอร์จะเป็นการยิงทำลายไปที่รากขนโดยตรง บริเวณชั้นใต้ผิวหนังจึงยังมีการเก็บความร้อนไว้ ซึ่งอาจเกิดอาการระคายเคืองได้ ต้องประคบเย็นไปเรื่อย ๆ

พอประคบเย็นจนหายแสบร้อนแล้ว พนักงานก็จะเอาครีมมาทาให้เพื่อลดอาการระคายเคือง
 ก็เป็นอันจบขั้นตอนการยิงเลเซอร์กำจัดหนวดในครั้งนี้

อันนี้เป็นรูปหลังจากยิงเลเซอร์เสร็จ
จะเห็นว่ามีรอยแดง ๆ แต่ข้ามคืนตื่นเช้ามารอยแดง ๆ ก็หาย


พนักงานย้ำว่าหนวดที่ยิงเลเซอร์ไปห้ามถอนเด็ดขาด ถ้าขึ้นมาใหม่ให้ใช้วิธีโกนได้เลย
เพราะถ้าถอนจะเป็นการกระตุ้นให้ผลิดรากขนขึ้นมาใหม่ ทีนี้ยิงเลเซอร์ไปก็ไม่ได้ผล

หลังจากทำเลเซอร์กำจัดขนไปได้หนึ่งอาทิตย์ เห็นได้ชัดเลยว่าเส้นขนมที่ขึ้นมาใหม่เล็กและบางลงมาก แทบไม่มีเลย
อันนี้เป็นรูปเปรียบเทียบ ระหว่างหนวดบริเวณรอบปากที่ไปทำเลเซอร์กำจัดขนมา กับบริเวณคาง จะเห็นว่าขนที่ขึ้นมาแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด


หลังจากทำครั้งแรกแล้วก็ต้องมีนัดทำเลเซอร์กำจัดขนบริเวณเดิมต่อเนื่องทุกเดือน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
ครั้งต่อ ๆ มาถามว่ายังเจ็บอยุ่มั๊ย ตอบได้เลยว่าเจ็บอยู่ แต่เจ็บน้อยลงเรื่อย ๆ
ปัจจุบันทำเลเซอร์กำจัดขนถาวรบริเวณหนวดมา 7 ครั้ง ไม่ค่อยเจ็บแล้วด้วยตอนทำ แต่ยังต้องทายาชาอยู่
ไปจนสนิทกับพนักงานแล้ว เพราะต้องไปทุกเดือน

ครั้งล่าสุดพนักงานแซวว่าหนวดพี่บางลงตั้งเยอะ ยิงเลเซอร์ไม่น่าจะเจ็บเแล้วนะ
ก็ตอบพนักงานไปว่า ยังเจ็บอยู่ ไหนใครว่ายิงเลเซอร์กำจัดหนวดไม่เจ็บ พี่ขอเถียงเลย

น้องพนักงานทำหน้ายิ้ม ๆ แล้วตอบกลับมาว่า "หนูรู้ว่าถึงจะเจ็บแต่พี่ก็จะทน"

เอ่อมมมม จริงที่สุด! เจ็บแค่นี้ทนได้

อัพเดทล่าสุดคือหนวดบริเวณรอบปากแทบไม่ต้องโกนแล้ว เพราะไม่มีหนวดขึ้นมาอีกแล้ว อาจจะมีเป็นขนเส้นบาง ๆ ขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่ขึ้นช้ากว่าเดิมเยอะ
ในขณะที่หนวดตรงใต้คาง ต้องโกนทุกวัน ไม่งั้นเขียวครึ้ม

เป็นอีกหนึ่งความเจ็บ ที่คุ้มค่า และน่าลงทุน!




ญี่ปุ่น ไม่ได้แพงอย่างที่คิด

วาเลนไทน์ที่ผ่านมามีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่น แถมเป็นช่วงหิมะถล่มหนักที่สุดในรอบหลาย ๆ ปี
ตอนแรกตั้งใจแน่วแน่ว่าคงเก็บเรื่องราวต่าง ๆ มาเขียน blog ได้หลายเรื่องแน่ ๆ
แต่ปรากฎว่าด้วยความหนาว กลายเป็นไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไหร่
เพราะหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาแต่ละทีก็หนาวจนเข้าไปถึงกระดูก 
เลยกลายเป็นทริปที่สนุกที่สุดประทับใจที่สุดและเป็นทริปที่มีรูปถ่ายน้อยที่สุดไปด้วย

จะว่าไปญี่ปุ่นเป็นจุดหมายปลายทางที่อยุ่ในใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยหลาย ๆ คน
แถมตอนนี้ไม่ต้องขอ VISA ให้ยุ่งยาก ตั๋วเครื่องบินก็ราคาถูกลง เพราะมี Low cost มาแชร์เส้นทางหลายเจ้า
หรือสายการบินใหญ่ ๆ หลายสายการบินก็ออกโปรโมชั่นแรง ๆ มาเรียกแขกอยู่บ่อย ๆ

เชื่อว่าหลายคนพอคิดถึงญี่ปุ่นจะต้องคิดถึงเรื่องค่าครองชีพที่แพงติดอันดับโลก
ตอนแรกก่อนไปก็วางแผนดิบดีว่าคงต้องกินข้าวปั้นเซเว่นหรือไม่ก็บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกือบทุกมื้อแน่ ๆ เพื่อประหยัดงบ
แต่พอไปถึงเอาเข้าจริง ๆ ค่าครองชีพ (โดยเฉพาะค่าอาหาร) ก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิด
บังเอิญสมาชิกที่ไปเที่ยวด้วยกันครั้งนี้มีหนึ่งคนที่เป็นคนจีนแต่ต้องมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพ
เพื่อนคนนี้ให้ข้อคิดดี ๆ มาว่า การไปเที่ยวต่างประเทศ บางทีก็ไม่จำเป็นจะต้องกินทุกอย่างในราคาที่จ่ายเท่ากับคนท้องถิ่น
อย่างตัวเขาเองมาอยู่ที่กรุงเทพ ก็ไม่ได้ตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าอาหารว่าจะต้องจ่ายเท่ากับที่คนไทยกินทุกมื้อ
ตอนไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นก็ต้องตั้งงบประมาณค่าอาหารไว้สูงกว่าปกติอยู่แล้ว
จะได้เป็นการไปเที่ยวอย่างสนุกและได้ลองกินอาหารที่อร่อยไปด้วย

พอได้ฟังแบบนั้นเลยตัดใจยกเลิกแผนการประหยัดค่าอาหารโดยพึ่งข้าวปั้นเซเว่นไปโดยปริยาย
ไหน ๆ นาน ๆ จะได้ๆไปเที่ยวต่างประเทศซะที ก็ขอให้ได้กินอาหารอร่อย จะได้ไม่เสียเที่ยว
(การแปลงค่าเงิน ณ ตอนที่ไปญี่ปุ่นใช้หลัก 100 เยน ประมาณ 32 บาท เอาไว้คิดเป็นเลขกลม ๆ ตอนจะจ่ายตังค์) 

มื้อแรกที่ญี่ปุ่นจึงเป็นข้าวหน้าเนื้อร้าน SUKIYA อารมณ์ประมาณ YOSHINOYA บ้านเรา
ในราคา 4xx เยน ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 150 บาท ซึ่งถือว่าไม่แพงอย่างที่คิด
เอาเข้าจริง ๆ ถูกกว่า YOSHINOYA ที่บ้านเราซะอีก แต่อร่อยแสงพุ่งแบบในการ์ตูนญี่ปุ่น
ไม่รู้เพราะหิวหรือเปล่า เพราะเป็นมื้อดึกหลังเที่ยงคืน เนื่องจากไฟล์ไปถึงดึกมากแล้ว


มื้อเช้าของวันถัดมาเป็นราเมงแบบ HYBRID (เมนูเขียนภาษาอังกฤษไว้แบบนั้น ส่วนภาษาญี่ปุ่นจนใจจะอ่านออกจริง ๆ ใช้จิ้มรูปเอา) ราคา 8xx เยน ประมาณ 240 บาท แต่รสชาติเด็ดดวงกว่า Chabuton สาขาบ้านเราเยอะ ในขณะที่ราคาพอ ๆ กัน (ร้านอยู่ในซอกซอยแถวชินจูกุ)


หรือจะเป็นซูชิ ราคาก็ไม่ได้แพงเว่อร์อย่างที่เข้าใจ
ร้านนี้อยู่ใกล้ ๆ อิเซตันตรงชินจูกุ จานนี้ทั้งหมดประมาณ 2,xxx เยน แค่ 700 บาทเท่านั้นเอง


หรือจะเป็นราเมงพร้อมหอมทอดแบบกดคูปองจากตู้ที่ร้านตรงสถานีรถไฟฟ้า อากิฮาบาร่า ก็แค่ 800 เยน (180 บาท)


เซทหมูทอดทงคัทซึเซทนี้ก็แค่  700 เยน
แต่รสชาติอร่อยเกินราคาจริง ๆ  


หรือข้าวหน้าปลาดิบที่ตลาดอะเมโยโกะ สองชามนี้ก็ราคาชามละ 850 เยน
แต่เนื้อปลาสดมาก ถึงข้าวจะแข็งไปหน่อย แต่ก็อร่อยมากอยู่ดี



 หรือจะเป็นเซทอาหารอารมณ์คล้าย OOTOYA ที่เราคุ้นเคย ราคาถูกกว่า แต่อร่อยกว่ามาก อาจเพราะวัตถุดิบที่สดใหม่กว่า (จำชื่อร้านไม่ได้ ต้องขออภัย)
เซทแรก 800 เยน เซทที่ 2 700 เยน เป็นเงินไทยก็คูณ .32 ลองดู



ซูมแบบใกล้ ๆ ปลาอร่อยมาก
สดฉ่ำ เนื้อไม่แข็ง ลืมที่กินที่ OOTOYA บ้านเราไปได้เลย



หรือจะเป็นเมนูอาหารเซทที่ TOKYO DISNEY SEA ก็ราคาแค่ 2,xxx บาท
ราคาอาจจะแพงหน่อย เมื่อเทียบกับเมนูอื่น แต่ก็เพราะอยู่ในสวนสนุก และห้องอาหารก็มี character ของ Disney อย่างมิกกี้,มินนี่ และพลูโต ให้ถ่ายรูปด้วยตลอดเวลา 




ทั้งหมดมั้งมวลที่เขียนมายืดยาว ไม่ได้จะมารีวิวร้านอาหารอร่อยหรือแนะนำว่าร้านอาหารไหนที่ต้องไปลอง
เอาเข้าจริง ๆ จากที่กินแบบเรื่อยเปื่อย หิวไหนแวะนั่น อาหารญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่นอร่อยทุกร้าน หากคุณถูกจริตกับอาหารญี่ปุ่น
บางคนเก็บตังค์ค่าทริป เผื่อตังค์ไว้ช้อปปิ้ง แต่ไปเม้มเรื่องค่าอาหาร
ถึงขั้นกินแต่ข้าวปั้นหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็มี (จากที่อ่านในหลาย ๆ กระทู้)

ที่อยากจะบอกก็คือบางทีไปเที่ยวแบบนี้ก็ไม่ควรประหยัดในเรื่องอาหาร
เก็บเงินเพิ่มอีกซักหน่อย สำหรับเป็นค่าอาหารโดยเฉพาะ ซึ่งเอาเข้าเข้าจริง ๆ แล้วลองเทียบกับการไปกินอาหารญี่ปุ่นตามโรงแรมหรือห้างในประเทศไทยก็ได้
เผลอ ๆ กินที่ญี่ปุ่นถูกกว่าด้วยซ้ำ แถมรสชาติแตกต่างเหลือเกิน (ไม่ได้เว่อร์นะ)

แล้วทริปการไปเที่ยวญี่ปุ่นของคุณจะเป็นทริปที่เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศสวย ๆ ของประเทศญี่ปุ่น และอิ่มอร่อยไปกับอาหารญี่ปุ่นรสชาติต้นตำหรับ
รับรองจะเป็นทริปที่ประทับใจและอยากกลับไปญี่ปุ่นอีกแน่ ๆ

 ทริปที่ผ่านมา ถึงแม้จะหนาวไปซักหน่อย เพราะเจอกับพายุหิมะเข้าแบบจัง ๆ เลยเที่ยวไม่ได้เต็มที่
หิมะตกหนักจนเปียกเฉอะแฉะเดินไม่สะดวก 






แต่ก็เพราะอาหารญี่ปุ่นอร่อย ๆ นี่แหละ ที่ทำให้ประทับใจ จนคิดว่าหากมีโอกาสเมื่อไหร่ต้องกลับไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นอีกแน่ ๆ

ปล. ขอบคุณรูปบางส่วนจากเพื่อนร่วมทริป