กำลังใจ สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

หลายปีก่อนฉันต้องลาออกจากงานทั้งที่กำลังไปได้ดีเพราะได้รับข่าวร้ายจากที่บ้าน
แม่เดินหกล้มก้นกบกระแทกพื้น จนทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อนไปทับเส้นประสาท ไม่สามารถเดินได้
ถือเป็นข่าวร้ายของทุกคนในครอบครัว

ตอนนั้นพอรู้ข่าวก็รีบกลับบ้านทันที ตอนไปถึงแม่ออกจากห้องผ่าตัดแล้ว
และกำลังฟื้นตัวจากยาสลบ
แม่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ เราคนเป็นลูกพอได้ไปเห็นแบบนั้นก็ใจสลาย อยากจะแบ่งความเจ็บของแม่มาไว้ที่ตัวเอง โมโหพ่อที่ทำไมทนดูแม่ร้องเจ็บแบบนี้ ทั้งที่สามารถขอมอร์ฟีนเพื่อระงับอาการปวดจากหมอได้ 
แต่พ่อให้เหตุผลว่า ถึงแม่จะเจ็บแต่ก็คงต้องปล่อยให้เจ็บไปก่อน เพราะเพิ่งออกจากห้องผ่าตัด หมอสั่งเด็ดขาดว่าห้ามแม่ขยับตัวเด็ดขาด
ถ้าให้มอร์ฟีนไปแล้วแม่ไม่รู้สึกเจ็บ ถ้าเกิดเผลอขยับตัวขึ้นมา เส้นประสาทอาจจะเคลื่อน กลายเป็นอัมพาตถาวร
ได้ฟังแบบนั้นก็ใจหาย รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ไม่คิดว่าจะซีเรียสร้ายแรงขนาดนี้ 

โชคดีที่ได้อาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญเรื่องกระดูกมาดูแลเคสให้ แต่หลังจากการผ่าตัดอาจารย์หมอก็ไม่กล้ารับประกันผลการผ่าตัด ด้วยความที่ท่านสนิทกับที่บ้าน จึงบอกแต่เพียงว่าโอากาสหายมี แต่ไม่มาก แม่อาจจะเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต ให้ทุกคนเผื่อใจและเตรียมแผนรองรับไว้ เพราะการดูแลผู้ป่วยเคสแบบนี้เป็นเรื่องยาก ไม่ใช่ยากตรงขั้นตอนการดูแลผู้ป่วย แต่เป็นการยากที่จะดูแลจิตใจผู้ป่วย ลองคิดดูจากคนที่เดินเหินได้ตามปกติ อยู่ดีๆกลับต้องนอนอยู่บนเตียงไปตลอด ขยับไปไหนก็ไม่ได้ กิจกรรมทุกอย่างต้องทำอยู่บนเตียงเท่านั้น ไม่ว่าจะกินไปจนถึงขับถ่ายทั้งหนักเบา คิดดูสภาพจิตใจจะเป็นอย่างไร

 หลังจากผ่าตัด แม่ต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่หลายวัน จากนั้นต้องพักรักษาตัวที่บ้านอีกหลายเดือน อาจารย์หมอกำชับเป็นพิเศษแบบย้ำแล้วย้ำอีกว่าแม่ต้องนอนนิ่ง ๆ เท่านั้น ขยับตัวให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะแม่อายุเยอะแล้ว กระดูกไม่แข็งแรงเหมือนวัยรุ่น การฟื้นตัวจึงเป็นไปได้ช้า และจะกลับมาเดินได้อีกครั้งหรือไม่ก็อยู่ตรงขั้นตอนการพักฟื้นนี่แหละ 

การดูแลแม่ถือเป็นงานที่หนัก แต่เราไม่เคยคิดว่าเป็นภาระเลย ญาติหลายคนออกความเห็นให้จ้างพยาบาลมาดูแลเป็นพิเศษ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของที่บ้าน ไม่เห็นต้องลาออกจากงานเลย ญาติ ๆ สามารถช่วยกันผลัดเปลี่ยนมาดูแลแม่ได้ ตามสมควร

เราไม่เห็นด้วยแบบนั้น เพราะดูจากตอนที่อยู่โรงพยาบาล ขณะที่เราช่วยแม่ทำธุระส่วนตัวบนเตียง แม่จะร้องเจ็บอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่หากพยาบาลช่วย แม่จะกัดฟันแล้วน้ำตาไหล คิดว่าด้วยความที่แม่เป็นคนขี้เกรงใจ คงไม่กล้าร้องบอกพยาบาล เลยได้แต่กลั้นความเจ็บเอาไว้ กลัวพยาบาลจะไม่ดูแล 
อีกอย่างให้คนอื่นมาดูแลแม่เรา เค้าจะดูแลดีแบบที่เราทำมั๊ย 

สุดท้ายเราตัดสินใจลาออกจากงาน มาดูแลแม่ขณะพักฟื้นแบบเต็มที่ ช่วงแรกแม่มีกำลังใจดี เพราะญาติ ๆ ผลัดกันมาเยี่ยมแบบไม่ขาดสาย แต่เรารู้เลยว่าลึกๆ แล้วแม่ไม่ค่อยอยากให้ใครมาเห็นสภาพในตอนนั้น เพราะถึงแม้ว่าแม่จะเป็นคนไม่ห่วงความสวย แต่คงไม่อยากให้คนเห็นสภาพที่นอนบนเตียงโดยขยับไปไหนไม่ได้แน่ ๆ แถมยังต้องทำธุระส่วนตัวทั้งหนักเบาบนเตียง 

ช่วงหลังของการพักฟื้น สุขภาพจิตแม่เลวร้ายลงมาก จากคนที่มองโลกในแง่ดี ยิ้มง่าย ร่าเริง แจ่มใส แม่กลายเป็นคนโมโหร้าย หงุดหงิด เพราะต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา ขยับไปไหนไม่ได้ 

แม่ชอบอ่านหนังสือ เราก็หาหนังสือมาให้แบบแทบจะยกห้องสมุดมาตั้งไว้ที่บ้าน แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก จนต้องหาอะไรใหม่ ๆ มาให้แม่ทำอยู่เสมอเพื่อคลายความเครียด 
ถึงขั้นลงทุนไปซื้อกรรไกรตัดผมแล้วมาให้แม่ตัดให้ 
ในขณะที่แม่ตัดไปแม่ก็บ่นไป ว่าทำไมไม่ไปตัดที่ร้าน เดี๋ยวผมก็แหว่งหรอก แต่เราแอบเห็นรอยยิ้มแบบมีความสุขของแม่

สุดท้ายแล้ว ด้วยการทำตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด และจิตใจอันเข็มแข็งของแม่ รวมไปถึงกำลังใจที่ส่งให้เรื่อย ๆ อย่างไม่ขาดสาย ทำให้อาการของแม่ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ จากที่ต้องนอนบนเตียงโดยไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้ ก็สามารถลุกขึ้นนั่ง แต่ต้องใส่เกราะดามหลังไว้ 

หลังจากนั้นไม่นานอาจารย์หมอก็ให้แม่ลุกเดินได้ แต่ยังคงต้องใส่เกราะดามหลังไว้ และใส่ตลอดเวลาเป็นระยะเวลา 1 ปี จนกว่าผลวินิจฉัยออกมาว่ากระดูกตรงที่มันหักไปฟื้นตัว 100% แล้ว 
แม่บ่นตลอดว่าอึดอัด เพราะแม่เป็นคนตัวใหญ่ แต่แม่ก็ทำตามคำแนะนำของอาจารย์หมออย่างเคร่งครัด 

ถือเป็นเรื่องร้าย ๆ ในอดีตที่ช่วยพิสูจน์ให้เห็นถึงความรักที่ครอบครัวช่วยกันฝ่าฟันจนผ่านพ้นไป 
ปัจจุบันแม่แข็งแรงเหมือนเดิม กลับมาเดินได้ตามปกติ ทำงานได้ตามปกติ และใช้ชีวิตได้แบบปกติ โดยไม่ต้องใส่เกราะดามหลังอีกต่อไป
ล่าสุดเพื่อนที่คบกันมานานเป็นสิบปี มีอาการคล้ายกันกับแม่ ต้องนอนบนเตียงและขยับตัวไปไหนไม่ได้ และต้องใช้เกราะดามหลัง ต่างกันตรงที่อาการของแม่เกิดจากอุบัติเหตุ แต่อาการของเพื่อนเป็นเหตุที่อยู่ดี ๆ ก็อุบัติขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว 

เพื่อนบอกว่าตื่นขึ้นมาก็ไม่สามารถขยับขาได้ และอวัยวะช่วงล่างตั้งแต่เอวลงไปไม่มีการตอบสนอง ภาพของแม่ในความทรงจำย้อนกลับมาทันที ถือว่าเพื่อนคนนี้กำลังเจอบททดสอบอันยิ่งใหญ่ของชีวิต 
เพื่อนคนนี้ใช้ชีวิตแบบทำทุกวันให้เต็มที่ เค้าเคยบอกกับเราเองว่า ไม่รู้อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นมีความสุขกับวันนี้และทุก ๆ วัน โดยอย่าคิดว่าต้องรออะไร 

เพื่อนอยู่ในการดูแลของหมอที่เชี่ยวชาญและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี กำลังใจที่ส่งให้เพื่อนมีอย่างล้นหลาม เพราะเพื่อนคนนี้เป็นที่รู้จักของผู้คนมากมาย และเป็นที่รักของใครหลาย ๆ คน 
คิดว่าความช่วยเหลือทางการแพทย์ทั้งหลายเราคงช่วยอะไรเพื่อนไม่ได้แล้ว เพราะหมอได้ทำเต็มที่เต็มความสามารถอย่างดีที่สุดไปแล้ว

ใจนึงอยากไปเยี่ยมเพื่อนเหลือเกิน อยากไปสัมผัส จับมือ แล้วบอกกับเพื่อนต่อหน้าว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างต้องดีขึ้น แต่เพื่อนเป็นคนรักสวยรักงาม เพราะฉะนั้นการไปเจอเพื่อนในสภาพนั้น คิดว่าลึก ๆ แล้วเพื่อนคงไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง เพราะไม่ใช่เพียงเรื่องความสวยความงามเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของกิจวัตรต่าง ๆ ประจำวันที่ต้องทำด้วยความไม่สะดวกเหมือนคนปกติทั่วไป 

เพื่อนคนนี้รู้จักกันมานานจนเรียกได้ว่ารู้ใจกันไปแล้ว 
ไม่ได้เป็นแค่เพื่อน แต่เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นเหมือนสมาชิกของครอบครัว
ถึงแม้บางโอกาส บางช่วงเวลา อาจจะห่างหาย ขาดการติดต่อไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม
แต่ท้ายที่สุดเราก็กลับมารักและเข้าอกเข้าใจกันเหมือนเดิม 
เชื่อว่าเพื่อนจะมีจิตใจที่เข้มแข็ง และผ่านเรื่องเลวร้ายครั้งนี้ไปได้ในที่สุด
ตัวหนังสือที่เขียนผ่าน blog นี้ เขียนขึ้นเพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อนคนนี้ 
ขอให้มีจิตใจที่เข็มแข็งและมองโลกในแง่ดี และฝ่าฟันไปให้ได้ 
แล้วในที่สุดทุกอย่างจะดีขึ้นเอง 


รักเพื่อน 

ปล. เพื่อนชอบอาหารที่ฉันทำหลายเมนู ทั้งที่เมื่อก่อนเพื่อนเคยแอบไม่เชื่อ หาว่าเราซื้อมาจากร้าน แล้วแกะใส่จาน จัดฉากสำหรับถ่ายรูปอวดชาวบ้านเท่านั้น หลัง ๆ มา เพื่อนเอ่ยปากอยากจะชิมฝีมืออีก แต่ฉันก็ได้แต่บ่ายเบี่ยงด้วยความที่งานเยอะและขี้เกียจ แต่เชื่อว่าหลังจากเพื่อนหายดี ฉันคงไม่กล้าบ่ายเบี่ยงอะไรอีกแล้ว เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง การได้ทำอาหารให้คนที่เรารัก ถือเป็นความสุขอีกอย่างหนึ่ง เป็นความสุขที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องรออะไรเลย







Caffe Americano ทำเองที่บ้านประหยัดได้ตั้งหลายตังค์

ติดกาแฟกันมั๊ย ?
หลาย ๆ คนอาจจะตอบโดยแทบไม่ต้องคิดว่า ใช่!
เพราะต้องเริ่มวันใหม่เรียกความกระปรี้กระเปร่าด้วยกาแฟหนึ่งแก้ว แก้ง่วงช่วงบ่ายอีกหนึ่งแก้ว เผลอ ๆ ถ้าต้องทำงานดึกอาจจะต้องมีแก้วที่สามด้วยซ้ำไป
เรียกได้ว่าใช้กาแฟเป็นตัวช่วยเรียกวิญญาณเข้าร่างก็ว่าได้
ที่นี้จะให้มาจ่ายค่ากาแฟก็ไม่ไหว กาแฟดี ๆ สมัยนี้ใช่ราคาถูกซะเมื่อไหร่

เดชะบุญเป็นคนดื่มกาแฟดำ เลยไม่ต้องยุ่งยากในการใส่ครีมหรือตีฟองนม
เคยซื้อกาแฟดำแบบร้านเล็ก ๆ เพราะอยากประหยัดตังค์ ปรากฎว่ารสชาติออกมาไม่ไหวจริง ๆ
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะกาแฟดำอย่างอเมริกาโน่มันคือเอสเปรสโซ่ผสมน้ำร้อนเข้าไปนั่นเอง
รสชาติที่ได้เลยเป็นรสชาติและกลิ่นของกาแฟเพียว ๆ โดยไม่ได้ปรุงแต่งอะไรเข้าไป
ถ้าเมล็ดกาแฟไม่ดี ก็เป็นอันจบกัน
สมมติไปซื้ออเมริกาโน่แบบร้อน อย่างต่ำ ๆ ก็แก้วละ 50 บาทแล้ว แต่ถ้าแบบเย็นก็ปาไป 70 บาท (กะอีแค่เพิ่มน้ำแข็ง คิดตังค์มาเพิ่มตั้ง 20 บาทแหนะ)
แล้วถ้าต้องดื่มกาแฟทุกวัน วันละแก้วตอนเช้า เดือนนึงก็ต้องจ่ายค่ากาแฟ 50*30 = 1,500 บาท เป็นอย่างน้อย
ปีนึงก็ล่อไปเป็นหมื่นแล้ว คิดได้ดังนั้น เลยหาวิธีมาประหยัดค่ากาแฟกันเถอะ

เครื่องชงกาแฟมีหลายราคา ตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่นกันเลยทีเดียว
 
ไอ้เราก็ไม่ได้ลิ้นทองคำ แถมยังอยากประหยัดอีกตะหาก เลยมองหารุ่นประหยัดมาใช้
เจอรุ่นนี้ถูกใจและราคาน่าคบ เลยซื้อมาใช้ ยี่ห้อ BUONO
คืออ่านจากชื่อยี่ห้อแล้วไม่สามารถระบุสัญชาติผลิตภัณฑ์ได้
แต่ขายในห้างญี่ปุ่นแบบอิเซตัน ก็คิดเองเออเองว่ามาจากญี่ปุ่นละกัน (ทั้งที่จริงอาจจะเป็นของจีนแผ่นดินใหญ่ แต่สมัยนี้ใครจะแคร์ มีอะไรบ้างที่ไม่ Made in China)

ส่วนตัวซื้อใช้มาจะครบปีแล้ว ยังใช้งานได้ดีอยู่เลย
 ตอนนี้มีลดราคาที่ห้างอิเซตัน จาก 990 บาท เหลือแค่ 599 บาทเท่านั้น (ตอนซื้อมาลดเหลือ 800 บาท ก็ว่าถูกแล้วนะ)
พอมีเครื่องต่อไปก็ต้องมีเมล็ดกาแฟ
ไหน ๆ ก็เดินห้างอิเซตันแล้ว ก็เลือกซื้อที่นี่ละกัน
มาเจอกาแฟไทยแต่ชื่อญี่ปุ่น SUZUKI เปิดบูธอยู่ เป็นบูธถาวร แวะเวียนมาซื้อได้ตลอดเวลาทำการของห้าง
ราคาโอเคเลย ขนาดแค่เดินผ่านยังหอมกลิ่นเมล็ดกาแฟกรุ่น ๆ

เลยซื้อตัว ESPRESSO มาลองดู 500g ราคา 412 บาท
ให้พนักงานบดเมล็ดกาแฟให้ได้เลย เลือกบดแบบความละเอียดปานกลาง จะได้ทั้งรสและกลิ่นกำลังดี

ชงกาแฟหนึ่งครั้ง ใช้ประมาณ 10g ต่อแก้ว
แสดงว่าห่อนี้ 500g ชงได้ 50 แก้ว ตกแก้วละ 8 บาทเอง

วิธีชงก็ไม่ยาก ตักกาแฟใส่เครื่อง เติมน้ำ เสียบปลั๊ก รอซักพัก น้ำจะร้อนและดันตัวขึ้นไหลผ่านผงกาแฟที่เราตักใส่เครื่อง แล้วก็จะได้กาแฟหอม ๆ ออกมา

ดื่มแบบร้อน ก็แค่เติมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อม นม,ครีม ตามสะดวกเลย
อยากได้อารมณ์หรูหรา ฟู่ฟ่า ก็หาแก้วสวย ๆ มาใส่เองตามสะดวก
ส่วนถ้าจะดื่มแบบเย็น ก็แค่รอให้กาแฟเย็นลงหน่อย จากนั้นก็เทใส่แก้วที่ใส่น้ำแข็งเอาไว้ เติมน้ำเชื่อมตามชอบ
แค่นี้ก็ได้กาแฟอเมริกาโน่เย็น ๆ ดื่มตอนร้อน ๆ ให้ชื่นใจแล้ว
ถึงรสชาติอาจจะไม่ดีเท่ากาแฟแพง ๆ แบรนด์ดัง ๆ แต่ก็คงไม่ด้อยไปกว่ากันเท่าไหร่นัก
สิ่งหนึ่งที่มั่นใจคือมันคุ้มค่า เกินราคา และช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าแน่ ๆ ลองคิดดูเล่น ๆ ก็แล้วกันชงเองทุกวัน วันและแก้วทั้งปี จะประหยัดเงินไปได้ตั้งเท่าไหร่

ลืมบอกว่าถ้าอยากลองกาแฟ SUZUKI แต่หาซื้อไม่ได้ สามารถเข้าไปสั่งซื้อในเวปได้เลยที่ http://suzuki-coffee.com/consumer-coffee-blends/
แล้วจะรู้ว่ากาแฟคนไทยก็ไม่เป็นสองรองใคร
 

ไข่ออนเซน (Onsen Egg) เมนูชื่อหรู ทำกินเองที่บ้านก็ได้ ไม่ยาก

ตั้งแต่วัฒนธรรม K-POP และซีรีส์แดจังกึมแพร่หลายในประเทศไทย ร้านอาหารเกาหลีก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป
แต่ส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จและคนนิยมไปกินจะเป็นพวกปิ้งย่างเกาหลี 
ไม่เหมือนร้านอาหารญี่ป่นที่ฮิตติดลมบนไปแล้ว ทั้งยี่ห้อญี่ปุ่นดั้งเดิมต้นตำรับบินมาจากดินแดนปลาดิบ หรือยี่ห้อสัญชาติไทยแต่ใช้ชื่อญี่ปุ่น ก็ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

จะว่าไปพอพูดถึงอาหารญี่ปุ่นคนจะคิดถึงพวกซูชิ ปลาดิบ แต่ตอนหลังมีร้านข้าวแกงกะหรี่ข้าวหน้าต่าง ๆ เปิดให้เห็นมากขึ้น ไม่แน่ใจมีใครลองทานที่ YOSHINOYA บ้างหรือยัง รสชาติดีทีเดียว ราคาก็ไม่แพงโอเว่อร์ด้วย โดยเมนูเด็ดจะเป็นพวกข้าวหน้าเนื้อหลากหลายสไตล์


ถ้าหากใครเคยทานข้าวหน้าเนื้อที่ YOSHINOYA สังเกตุในเมนูจะมีเมนูไข่ออนเซน ซึ่งชื่อดูเก๋กู๊ดเชียว ราคาตั้ง 25 บาท แหนะ ถามว่าอร่อยมั๊ย ก็อร่อยนะ กินกับข้าวหน้าเนื้อร้อน ๆ แต่แหม ๆ ไข่ฟองเดียว คิดตั้ง 25 บาทเลยเหรอ จะเอากำไรไปไหน
ข้าวหน้าเนื้อแบบเผ็ดกับไข่ออนเซน
วันนี้เรามาลองทำไข่ออนเซนกันดูดีกว่า มันจะยากอะไรกันนักหนา
เริ่มด้วยการต้มน้ำร้อนให้เดือดจัด กะเอาว่าให้น้ำพอท่วมไข่ไก่
จากนั้นปิดไฟ หย่อนไข่ไก่ลงในน้ำร้อน ปิดฝา จับเวลาเลย
 ทดลองทำดูทั้งแบบ 7,8,9 นาที เพื่อดูผลลัพธ์ว่าจะต่างกันมั๊ย
ผลที่ได้ออกมาเป็นเช่นนี้
7 นาที
8 นาที (ตอนตอกไข่ไม่ระวัง ไข่แดงเลยแตก)
9 นาที
 ผลที่ได้จริง ๆ แทบไม่ต่างกันเลย ระหว่าง 7,8,9 นาที
ไข่ขาวด้านนอกสุกแบบกำลังดี เหมือนที่กินในร้านเป๊ะ
ไข่แดงก็กำลังเป็นน้ำเยิ้ม ๆ

เข้าใจว่าพอเกินเวลา 7 นาทีไปแล้ว น้ำคงหายร้อนไปแล้ว ต่อให้แช่ไข่ต่อไปมันก็ไม่สามารถสุกไปถึงไข่แดงได้แล้ว แต่ไข่ขาวนี่พอจะเห็นความแตกต่างกันนิดหน่อย
จะให้ดี เอาทิชชู่หรือผ้าห่อไข่ไว้อีกหน่อย ความร้อนมันจะได้ระอุอยู่นานกว่าเดิม ไข่ขาวจะสุกมากกว่านี้ แต่ไข่แดงยังเป็นลาวาอยู่

เอามาเหยาะพริกไทย ใส่ซอสแม๊กกี้ อร่อยเพลินเลยทีเดียว
หรือจะกินกับขนมปังปิ้งตอนเช้า ๆ กับกาแฟดำก็ดูเข้าท่านะ
เอ๊ะ จะว่าไปแล้ว ดูไปดูมา ไข่ออนเซนนี่มันไข่ลวกดี ๆ นี่เอง
พิโธ่พิถัง ร้านอาหารญี่ปุ่นเอาไปตั้งชื่อซะโก้เลยนะ
ไข่ไก่ตอนทุนฟองละไม่เกิน 4-5 บาท ขาย 25 บาท กำไรเนื้อ ๆ เน้น ๆ
คงเพราะชื่อไข่ออนเซนนี่แหละ ลองตั้งว่าไข่ลวก ลูกค้าอาจจะไม่สั่งก็เป็นได้

ส่งท้ายด้วยภาพไข่ออนเซนแบบไข่แดงแตกออกมาเป็นลาวา
ช่วงนี้ มีโปรโมชั่นราคาเริ่มต้นแค่ 59 บาท สนใจก็แวะไปชิมได้เลย



ประกันภัยการเดินทาง ซื้อเอาไว้อุ่นใจกว่า i-Insure จากกรุงไทยพานิชประกันภัย


เมื่อวานแนะนำสายการบิน Thai Lion Air ไป มีหลายเสียงบอกว่าสายการบินนี้ชอบยกเลิกเที่ยวบิน และมีข่าวเรื่องประสบอุบัติเหตุหลายครั้ง เป็นไปได้ให้เลือก AIR ASIA ดีกว่า

จะว่าไปตั้งแต่สายการบิน AIR ASIA มาลุยตลาดการบินในประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อน
เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงมีโอกาสได้ใช้บริการบ้างแล้ว ตามสโลแกน "ใคร ๆ ก็บินได้" 
ยิ่งช่วงโปรโมชั่น บางทีราคาแทบจะเรียกได้ว่าบินฟรีกันเลยทีเดียว
แต่ก็ต้องแลกกับการจองตั๋วเครื่องบินนานข้ามปี จองกันจนลืมไปเลยก็มี
ดังนั้นจึงต้องลางานล่วงหน้า จองที่พักล่วงหน้า วางแผนกันเอาไว้เป็นปีกว่าจะได้เที่ยว
จำได้ว่าช่วงเปิดตัวแรก ๆ มีการยกเลิกไฟล์ทกันอุตลุด รวมไปถึงการยุบไฟล์ท แคนเซิลไฟล์ท กระทั่งไฟล์ทล่าช้า มีให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ
ว่าไม่ได้ สายการบินแห่งชาติอย่างการบินไทยก็ยังมีดีเลย์ให้เห็นอยู่บ่อย ๆ บางทีมาจากการต้องแชร์รันเวย์กับสายการบินอื่น พอมีการล่าช้า ก็ล่าช้ากันไปเป็นทอด ๆ 

ตั้งแต่คนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าสำหรับการเข้าประเทศญี่ปุ่น เชื่อว่ามีหลายคนอยากจะเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นซักครั้ง
ที่จริงปีหน้ามีจองตั๋วไปญี่ปุ่นไว้เหมือนกัน
แพคเกจตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักอีก 5 คืน ราคาแค่ 2 หมื่นบาทเท่านั้น
เป็นการจองข้ามปี โดยจองไว้ตั้งแต่กลางปีนี้ แต่กว่าจะได้บินก็กุมภาพันธฺปีหน้านู่นเลย
ตอนแรกก็แอบคิดว่ามันนาน แต่แป๊บ ๆ ก็จะหมดปีแล้ว
จะได้มีโอกาสไปญี่ปุ่นกับเค้าซะที

นาน ๆ จะได้ไปเที่ยวต่างประเทศ เลยอยากจะเน้นชัวร์ไว้ก่อน
ประกันภัยการเดินทางจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่อยากจะนำมาเสนอ
เพราะถือว่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย
ไปเจ็บป่วยเอาที่ต่างประเทศมันจะไม่คุ้มค่าเอา
หรือกรณีไฟล์ทถูกยกเลิก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันได้
อย่างน้อยเรายังเรียกร้องเงินชดเชยได้
ถึงแม้ AIR ASIA ไม่ค่อยยกเลิกไฟล์ทเหมือนเมื่อตอนเปิดบินใหม่ ๆ
แต่ไม่แน่ ภาวะโลกแปรปรวนแบบนี้ เผื่อแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด อย่างน้อยก็ไม่เสียเงินเปล่า ๆ

ตอนนี้กรุงไทยพานิชประกันภัยมีโปรโมชั่นร่วมกับ AIR ASIA อยู่ด้วย
โดยซื้อประกันภัยการเดินทางแบบออนไลน์ จะได้รับทันที 500 BIG POINT สำหรับไปแลกตั๋วเครื่องบินหรือของรางวัลอื่น ๆ

ถือเป็น Loyalty Program ของ AIR ASIA คล้าย ๆ กับ ROP ของการบินไทย หรือ Flyer Bonus ของบางกอกแอร์เวย์ ล่าสุดมีโปรโมชั่นแลกตั๋วเครื่องบินโดยใช้แต้ม BIG POINT เริ่มต้นที่ 0 แต้มเท่านั้น วิธีสมัครก็ไม่ยาก เข้าไปที่ http://www.tune2big.com ได้เลย

เดี๋ยวจะสาธิตวิธีซื้อประกันภัยการเดินทางให้ดู
เข้าไปที่ กรุงไทยพานิชประกันภัย จากนั้นเลือกว่าเป็นประกันภัยการเดินทางในประเทศหรือประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ

จากนั้นเลือกประเภทการเดินทาง (ครั้งนี้เลือกแบบ รายเที่ยว ระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน)  เลือกจุดหมายปลายทาง ใส่วันออกเดินทางและวันเดินทางกลับ และจำนวนผู้เดินทาง

ระบบจะคำนวณเบี้ยประกันภัยออกมาให้ โดยมีให้เลือกถึง 3 แผนการคุ้มครอง

แผน VISA 5 วัน เบี้ยประกัน 432 บาท
แผน VISA PLUS 5 วัน เบี้ยประกันภัย 641 บาท
แผน VISA ELITE 5 วัน เบี้ยประกันภัย 915 บาท

ศึกษาผลประโยชน์ความคุ้มครองให้ดี แล้วเลือกแบบที่เหมาะสมกับเราเลย 

จากนั้นใส่ข้อมูลผู้เอาประกัน
 จากนั้นจะเป็นการยืนยันการซื้อประกันภัย 
 

เช็คข้อมูลทุกอย่างว่าถูกต้อง หากแน่ใจว่าข้อมูลทุกอย่างครบถ้วนถูกต้องแล้ว ก็สามารถจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยผ่านบัตรเครดิตได้เลย ถือเป็นอันจบขั้นตอนการซื้อประกันภัยการเดินทางแบบออนไลน์ 

  
แผน VISA ELITE ที่เลือก จ่ายเพียง 915 บาทเท่านั้น สำหรับการคุ้มครอง 5 วัน
เพียงเท่านี้คุณก็มั่นใจได้แล้วว่า สามารถไปเที่ยวได้อย่างสบายใจไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากเที่ยวบินถูกยกเลิก การพลาดจากการต่อเครื่อง กระเป๋าหาย ทรัพย์สินถูกขโมย หรือแม้กระทั่งกรณีได้รับอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แถมยังมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมงด้วย 

เอาเข้าจริง ๆ คงไม่มีใครอยากเคลมประกันหรอก แต่ใครจะรู้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ จ่ายเพิ่มอีกไม่กี่ร้อย อย่างน้อยคุณก็สบายใจได้ว่าจะไปเที่ยวอย่างปลอดภัย ไม่ต้องกังวล 

คิดง่าย ๆ เกิดไปเดินสะดุดหกล้ม แข้งขาหัก ต้องเข้าโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่น ไม่รู้ต้องจ่ายกี่หมื่นกี่แสน อย่างน้อยทำประกันไว้ก็อุ่นไจ ว่าเราจะมีค่ารักษาพยาบาลแน่ ๆ หรือหากกระเป๋าเดินทางล่าช้าหรือสูญหาย แค่นี้ก็หมดสนุกแล้ว

ไปเที่ยวไหนก็ระวังกันหน่อยละกัน เที่ยวอย่างมีสติ ยังไงก็ปลอดภัยกันไว้ก่อน ประกันที่ซื้อไว้ก็เผื่อกรณีฉุกเฉิน มั่นใจว่าคงไม่มีคนบ่นว่าเสียดายจัง จ่ายค่าเบี้ยประกันทิ้งฟรี ๆ โดยไม่ได้เคลม

ปล. ประกันภัยการเดินทางมีหบายบริษัทให้บริการ ส่วนใหญ่ราคาพอ ๆ กัน ความคุ้มครองคล้าย ๆ กัน ดังนั้นเลือกบริษัทที่น่าเชื่อถือเอาไว้เป็นดี มีปัญหาอะไรขึ้นมาจะได้เคลมง่าย ๆ




ไปเชียงใหม่แบบประหยัดทั้งเงินและเวลา กับสายการบินใหม่ Thai Lion Air

เมื่อไม่นานมานี้ สายการบิน Thai Lion Air เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการและเปิดเส้นทางการบินจากสนามบินนานาชาติดอนเมือง ไปอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเชียงใหม่
ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ ที่น่าลอง
เพราะราคาโปรโมชั่นน่าสนใจมาก
ลองคลิ๊กเล่น ๆ ดูเส้นทาง กรุงเทพ - เชียงใหม่ ราคาเริ่มต้นตั้งแต่  515 บาท, 665 บาท, 815 บาท ไปจนถึงหลักพันขึ้นไปในช่วงวันหยุดยาว
ล่าสุดไปเชียงใหม่มาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็เจอเค้าเตอร์ของ  Thai Lion Air ที่สนามบินเชียงใหม่แล้ว
โดยเค้าเตอร์อยุ่ถัดจากการบินไทยเลย

เข้าไปลองดูไฟล์ทได้ที่ Thai Lion Air
พอเข้าไปในเวปจะเจอหน้าเวปแบบนี้

ลองกดดูราคาเส้นทางกรุงเทพ-เชียงใหม่
ยังพอมีราคา 515 บาทให้เห็น 

ขั้นตอนการจองก็เหมือนซื้อตั๋วเครื่องบินของสายการบินอื่นทั่วไป
เลือกเส้นทาง เลือกวันเดินทาง จากนั้นกดปุ่ม Search flight
ก็จะมีไฟล์ทพร้อมราคามาให้เราเห็น ราคาช่วงโปรโมชั่นไปกลับกรุงเทพ - เชียงใหม่ ราคารวมแล้วเพียง 1,030 บาทเท่านั้น

โดยกรุงเทพ-เชียงใหม่ มีวันละ 2 ไฟล์ท 11.20 และ 15.40 ถือว่าเป็นเวลาบินที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
ไปถึงก็ได้เวลาเช็คอินโรงแรมเลย แต่หากต้องไปทำธุระไฟล์ทเช้า อาจต้องเลือกสายการบินอื่น

ส่วนเชียงใหม่ - กรุงเทพ ก็บินวันละ 2 ไฟล์ท เช่นเดียวกัน 13.20 และ 17.35

เลือกไฟล์ท สรุปแล้วขาไป 665 บาท ขากลับ 665 บาท รวมค่าภาษีฯ แล้วจะเป็น  1,330 บาท
ซึ่งสำหรับราคานี้ถือว่าถูกมาก แถมไม่ต้องจองยาวข้ามปีแบบ Air Asia (ราคา 515 บาท ยังพอมี แต่อาจจะเหลือไม่เยอะแล้ว)

เมื่อเปรียบเทียบกับราคาตั๋วรถทัวร์ของนครชัยแอร์ จะถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
เพราะ Gold Class ราคา 657 บาท ไปกลับ =  1,314 บาท
 ส่วน First Class ราคา 876 บาท ไปกลับ = 1,752 บาท
เรียกว่าบินกับ Thai Lion Air ราคาถูกกว่านครชัยแอร์ แถมยังไม่ต้องเสียเวลานั่งรถนาน ๆ แล้วต้องไปเสี่ยงกับอุบัติเหตุบนท้องถนนอีก
ราคาตั๋วนครชัยแอร์ กรุงเทพ - เชียงใหม่

หลังจากเลือกไฟล์ทแล้ว คราวนี้ก็มาถึงขั้นตอนการจ่ายเงิน ซึ่งถือว่า Thai Lion Air มีช่องทางชำระเงินให้เลือกมากมาย ทั้ง Direct Debit, ATM Payment, Credit Card หรือ Counter Service สำหรับผู้ที่ไม่มีทั้งบัตรเครดิตและไม่ได้สมัครธุรกรรมการเงินแบบออนไลน์ไว้


วันนี้เราจะมาลองเลือกการชำระเงินผ่าน Counter Payment ดู ซึ่งมีให้เลือกทั้ง Just Pay, Tesco Lotus, True  Money, Pay@Post, MPay, Big C
กดเลือกรายการเลยว่าจะเลือกชำระที่ไหน จากนั้นระบบจะออกใบรายการชำระเงินมาให้ เราก็ปริ้นท์แล้วก็แค่ไปจ่ายเงินตามเค้าเตอร์ที่ได้เลือกไว้ หรือไปจ่ายตามสะดวกได้เลย เพราะใช้ระบบสแกนบาร์โค้ดได้หมด แต่ละที่ก็จะมีค่าบริการต่างกันไป
ใบรายการชำระเงิน ปริ้นท์ไปจ่ายที่เค้าเตอรืได้เลย




จ่ายที่ Tesco Lotus ฟรีค่าธรรมเนียมถึงสิ้นปี 
ส่วนจ่ายที่ Big C คิดค่าบริการ 5 บาท 


ระบบจะเก็บ Booking ของเราไว้ 5 ชั่วโมง ก็แค่ไปจ่ายเงินให้ทันเวลา ก็เป็นอันเรียบร้อย หากไม่ได้ไปชำระเงินภายในเวลาที่กำหนด Booking ของเราจะถูกยกเลิกไป 


Thai Lion Air เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจมาก สำหรับคนที่ต้องเดินทางไปเชียงใหม่
Air Asia และ Nok Air อาจมีร้อน ๆ หนาว ๆ
โดยเฉพาะ Air Asia เพราะ Thai Lion Air มีบริการเครื่องดื่มบนเครื่อง บริการเลือกที่นั่ง และน้ำหนักกระเป๋าที่ให้ถึง 15 กิโลกรัม ที่สำคัญคือทุอย่าง ฟรี ฟรี และ ฟรี!

ไม่แน่ เดี๋ยวซักพัก Air Asia, Nok Air อาจจะออกโปรแรง ๆ มีรับน้องใหม่อย่าง Thai Lion Air ก็เป็นได้
ผลดีทั้งหมดจึงตกอยู่ที่ผู้บริโภคอย่าง ๆ เรา ๆ

รีดผ้าไม่ใช่เรื่องยาก หมดปัญหารีดผ้าหน้ามันแผล๊บด้วยเครื่องรีดไอน้ำ


สมัยนี้ไปที่ไหน เอะอะก็ภาวะโลกร้อน
ไม่รู้จะโทษอะไร ก็โทษโลกร้อนนี่แหละ ทั้งที่บางเรื่องไม่ได้เกี่ยวกับโลกร้อนเลย

หลาย ๆ บริษัทมีนโยบาย go green ออกมาจริงจัง ไม่รู้ตั้งใจทำจริงหรือแค่เป็นแผน PR บริษัททางอ้อม
Supermarket หลายแห่งชูนโยบายไม่ใส่ถุงพลาสติคเพื่อลดโลกร้อน โดยให้นำถุงผ้ามาใช้ซ้ำ (เอาเข้าจริงๆนอกจากช่วยลดโลกร้อนยังช่วยประหยัดงบค่าถุงพลาสติคไปด้วยเยอะเลยนะนั่น)
ถือเป็นยุคเบ่งบานของการรณรงค์ช่วยรักษ์โลกโดยอ้างอิงกระแสโลกร้อนอย่างจริงจัง

แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีพวกทำเนียน ใช้เรื่องการช่วยลดโลกร้อนมาทำให้ตัวเองดูดี
หนึ่งในหัวข้อหลักที่เห็นได้ชัดเลยคือเรื่องการรีดผ้า
คือที่กล้าบอกว่าเห็นได้ชัดเพราะมันเกิดขึ้นกับตัวเอง
เพราะจะว่าไปแล้วสมัยนี้การซักผ้ามันง่ายนะ
โยนผ้าลงเครื่อง ใส่ผงซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม เปิดน้ำ กดปุ่ม รอซักพักเครื่่องมันจัดการทุกอย่างอัตโนมัติ เรารอแค่ตากผ้าเท่านั้นเอง
บางบ้านล้ำกว่านั้น มีเครื่องอบผ้าด้วย (แดดเมืองไทยเปรี้ยงจะตาย จะอบไปทำไม ไม่เข้าใจ แต่คนที่อยู่คอนโด ไม่มีที่ตากผ้าแล้วต้องอบผ้าแทนตาก อันนี้เข้าใจ)
แต่การรีดผ้าไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุค กี่สมัย กี่รัฐบาล ก็ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับบางคนหรืออาจจะทุกคนด้วยซ้ำ
คือถามจริงเหอะ ถ้ามีคำถาม ถามว่า งานบ้านอะไรที่คุณชอบมากที่สุด? จะมีซักกี่คนที่ตอบว่าชอบรีดผ้า
ถือเป็นงานที่ร้อน หนัก และน่าเบื่อ
บางทีรีดไป ดูทีวีไป ผ้าไหม้ ไม่รู้ตัว

แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยต้องใช้ชีวิตแบบหนุ่มสาวออฟฟิศ เลยไม่ต้องใส่เสื้อเชิ๊ตกางเกงสแลคแบบเนี๊ยบ ๆ
เสื้อยืดกางเกงยีนส์จึงเป็นเครื่องห่อหุ้มร่างกายแบบประจำวัน นานๆ ทีถึงจะจะใส่เสื้อเชิ๊ตซักครั้ง ส่วนกางเกงสแลคนี่เลิกพูดถึงได้เลย

ครั้นจะส่งเสื้อยืดตัว 199 ที่มีอยู่ไปร้านซักรีดก็ใช่เรื่อง เพราะค่าซักรีดสมัยนี้ถูกซะทีไหน
ส่งซักรีดสามที อาจแพงกว่าซื้อเสื้ิอใหม่
เลยซื้อเครื่องซักผ้าแบบอัตโนมัติมาใช้เอง
แต่ยังคงคอนเซปซัก ตาก แต่ไม่รีด มาตั้งแต่อดีตจวบจนกระทั่งปัจจุบัน

เมื่อก่อนมีคนถามว่าทำไมไม่รีดเสื้อ ก็จะมั่นหน้าบอกไปว่าขี้เกียจ เพราะพวกที่ถามก็เพื่อนๆที่สนิทบ้างไม่สนิทบ้าง
แต่พออายุอานามมากขึ้น เจอคนมากขึ้น บางคนเป็นที่นับหน้าถือตาในแวดวงสังคม บ้างก็เป็นคนมีชื่อเสียงในหลากหลายแวดวง
ไอ้ครั้นพอถูกถามไม่ว่าจะทางวาจาหรือสายตาว่าเสื้อผ้าที่ใส่รีดบ้างไหม?
จะให้ตอบว่าขี้เกียจ ก็ดูจะไม่งามเท่าไหร่ เลยให้เหตุผลไปว่า ไม่รีดผ้า เพราะกำลังช่วยลดโลกร้อน
แหนะ ฟังดูดีเน๊อะ!

คือเป็นเหตุผลที่ฟังแล้วดูดีและเลอค่า ต่อให้เสื้อยับยู่ยี่ก็เหอะ
แต่จะให้ตอบแบบนี้บ่อยๆ ก็คงไม่ดี เพราะเดี๋ยวเค้าจับทางได้
บางทีต้องไปงาน ใส่เสื้อยับไป เกรงใจเจ้าภาพ

แต่จะให้มาหน้ามัน รีดผ้าก็คงไม่ไหว คือเป็นคนมีความพยายามและอดทนนะ แต่ไม่ใช่สำหรับเรื่องรีดผ้า
จะให้ส่งร้านซักรีดก็ไม่ไหว ด้วยความที่อยู่คอนโด ราคาค่าซักรีดเลยหนักเอาการ

คิดได้เช่นนั้นเลยหันไปค้นข้อมูลของเครื่องรีดไอน้ำ
แบบที่เห็นบ่อยๆตามห้างหรือร้านขายเสื้อผ้า
ที่พนักงานยืนจับแปรงแล้วพ่นไอน้ำร้อนๆออกมา
ซึ่งดูแล้วเรื่องการรีดผ้าเป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วย

ยิ่งตอนพนักงานห้างสาธิตให้ดู โอ้ววววว มันช่างยอดมากเลยจอร์จ เพราะจากเสื้อยับๆ ที่ขมวดขดเป็นปมๆไว้
พอเอาไอ้เจ้าแปรงที่ว่าไปพ่นไอน้ำใส่ นาบแล้วถูไปมาไม่กี่ที เสื้อเชิ้ตยับๆ ดันเรียบซะงั้น
ถูกจริตเป็นที่สุด เพราะดูใช้ง่าย ไม่ซับซ้อน
รีดได้ทั้งเสื้อเชิ๊ตไปจนถึงกางเกงยีนส์

สนนราคาค่าตัวมีให้เลือกมากมาย ตั้งแต่หลักพันยันหมื่น ยี่ห้อจีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น หรือกระทั่งไทยแลนด์มีหมด
วันนี้โอกาสดี เลยทุ่มไม่อั้น คว้าของ @Home มา ด้วยราคาค่างวดที่ 2,490 บาท


แหะ ๆ คือให้ซื้อแพงกว่านี้ก็จ่ายไม่ไหว เพราะไม่รู้ว่าเอามาใช้เข้าจริง ๆ มันจะดีมั๊ย
แอบมองโลกในแง่ร้ายว่าพนักงานคงแอบลงน้ำยาอะไรไว้ที่เสื้อหรือเปล่า
ทำไมถูไปมาไม่กี่ทีซื้อจากยับ ๆ ก็เรียบซะงั้น ยังกับเล่นกล
ส่วนไอ้ที่ราคาถูกกว่านี้ สภาพก็ดูไม่น่าใช้ ระเบิดตู้มต้ามมาใครจะรับผิดชอบ
แถมพนักงานการันตีว่ารุ่นนี้รีดดี เรียบง่าย ผ้าไม่มัน ดีและคุ้มค่าเกินราคา

พนักงานขายเก่งจนตอนแรกจากที่คิดว่าจะแค่ไปดูไว้ก่อน สุดท้ายก็หอบหิ้วกล่องกลับมาถึงบ้าน อ่านคู่มือการใช้งาน

ดูแล้วก็ไม่น่ายากอะไร ชิ้นส่วนที่ให้มีเยอะเยอะมากมาย ทั้งแบบรีดชาย รีดปลาย รีดขอบ รีดกลีบให้โค้งเรียบเป็นสะพานแขวนก็มี


 แต่ถามว่าให้ความสำคัญมั๊ย ตอบเลยว่าไม่ เพราะถ้าจะรีบเอาเรียบ คงใช้เตารีดปกติหรือส่งร้านซักรีดไปแล้ว
ที่อุตส่าห์กัดฟันจ่ายเงินมาเพราะอยากใส่เสื้อเรียบแต่รีดสะดวก ไม่ต้อวหน้ามันหัวฟูกับการรีดผ้ากองโต

เห็นพนักงานรีดดูเหมือนง่ายๆ ไหน ๆ ก็ซื้อมาแล้ว ลองรีดดูเลยละกัน
ก่อนอื่นขอประกอบร่างก่อน ทำตามคู่มือ ไม่มีอะไรยาก

เห็นตอนพนักงานสาธิตมีใส่ถุงมือกันร้อน แต่ทำไมไม่ยักกะแถมมาให้ในกล่อง
ไม่เป็นไร มีถุงมือจับหม้อร้อนๆ คิดว่าน่าจะใช้แทนกันได้


ข้อควรระวังคือตรงข้อต่อที่ต้องล็อค กรุณาล๊อคให้แน่น
ป้องกันอันตรายจากไอน้ำร้อน ๆ มันรั่วออกมา

เติมน้ำใส่เครื่อง เปิดสวิตซ์ รอไม่ถึง 2 นาที ไอน้ำก็เริ่มพวยพุ่ง มีเสียงคล๊อกๆ เหมือนคนสำลักน้ำลายเป็นระยะๆ คือต้มมาม่ายังใช้เวลานานกว่าเลย




มาลองรีดกันเลยดีกว่า
เสื้อที่นำมาลองของใหม่เปิดซิงวันนี้มีด้วยกัน 5 แบบ

เรียงตามลำดับความบางของผ้าจากน้อยไปหามาก



ผลสรุปที่ได้ออกมาเริ่ดเลอ เว่อร์วัง เสื้อยืดรีดง่ายมาก ออกมาเรียบเชียว ถู ๆ ไถ ๆ 2-3 ที ย้ำว่า 2-3 ที ไม่ใช่ 2-3 นาที ออกมาเรียบ เป๊ะมาก
คือแบบลากจากบนลงล่าง ปาดไปมา จบเลย ประทับใจมาก
อยากจะกราบคนคิดค้นนวัตกรรมนี้ขึ้นมาทีเดียว
ซ้าย-ก่อนรีด ขวา-หลังรีด
เสื้อเชิ๊ตแบบผ้าบางของ H&M ผ้าอะไรไม่รู้ ขี้เกียจดู ก็ได้ผลลัพธ์ออกมาน่าพอใจ เสื้อตัวนี้ค่อนข้างรีดยากอยู่แล้ว ขนาดใช้เตารีดธรรมดายังต้องใช้ไฟแรง นาบแล้ว นาบอีก ก็ยังไม่ค่อยเรียบ แต่นี้ ถูไถหลายทีหน่อย แต่ก็ออกมาเรียบ ถึงแม้จะไม่ถึงกับเรียบมากก็เถอะ




เสื้อเชิ๊ตแบบบางของ UNIQLO ตัวนี้ก็รีดง่าย ออกมาเรียบเว่อร์  ตรงชายเสื้อกับปกเสื้อแล้วก็ตรงแขน ไม่ได้เน้นเป็นพิเศษนะ ก็แค่รีด ๆ ปาด ๆ ถู ๆ ไถ ๆ


เสื้อเชิ๊ตแบบหนาของ UNIQLO ตัวนี้รีดไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก เพราะผ้าหนา ตอนรีดต้องกดแปรงแบบเน้น ๆ แล้วค่อย ๆ ลาก ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาเป็นที่น่าพอใจ

สุดท้ายแล้ว เสื้อยีนส์ คือไม่คิดว่าจะรีดได้ เพราะเนื้อผ้าค่อนข้างหนา แต่ก็รีดเน้น ๆ ลากช้า ๆ แบบตัวบน ก็ออกมาเรียบเหมือนกัน

เสื้อทั้งหมดรีดไปด้วย ดูละครช่อง 3 ไปด้วย
รีดทั้ง 5 ตัวนี้ ละครยังไม่ทันตัดเข้าเบรคด้วยซ้ำ
เน้นรีดแบบชิล ๆ ง่าย ๆ เอาสะดวกเข้าว่า ไม่ได้อยากจะให้เรียบเว่อร์อยู่แล้ว
ตรงปกเสื้อ บ่า ไหล่ แขนเสื้อ ชายเสื้อ ก็รีดแบบผ่าน ๆ ไม่ได้เน้นหรือใช้อุปกรณ์พิเศษที่มีเสริมมาให้ 
เอาว่าแค่ไม่ยับก็ดีใจเหมือนถูกหวยสองตัวบนแล้วเนี่ย


หลักการทำงานของเครื่องน่าจะเป็นการต้มน้ำให้เดือดแล้วใช้ไอน้ำร้อนๆ พ่นไปที่ผ้า ทำให้เส้นใยผ้าพอโดนไอน้ำร้อนๆแล้วจึงพองตัว ผ้าเลยดูไม่ยับ แต่ก็ไม่ได้เรียบมาก คนละหลักการทำงานของเครื่องรีดแบบโบราณที่ทำให้แผ่นเหล็กร้อนแล้วนาบไปที่ผ้า ทำให้ใยผ้าเรียบ และส่งผลให้เนื้อผ้ามัน (เหมือนกางเกงสแลคท่านชายหลายๆคน ที่มันแผล๊บสะท้อนแสงยังกะรองเท้าหนังแก้ว)

ถามว่าสะดวกมั๊ย บอกเลยว่าสะดวกมาก ถือเป็นนวัตกรรมที่อยากเอาไปแนะนำชาวดาวอังคาร หากเกิดการแลกเปลี่ยนเทคโนโลนีระหว่างดวงดาวขึ้นนอนาคต
เติมน้ำ เปิดสวิตซ์ ชั่วเวลาต้มมาม่ายังไม่ทันสุกเครื่องก็พร้อมทำงานแล้ว
ไอน้ำพวยพุ่งออกมาเป็นสายเชียว

จากนั้นก็แค่เอาแปรงพ่นไอน้ำไปนาบๆ ถูๆ ไถๆ ไปมา ผ้าก็ออกมาเรียบในระดับที่น่าพอใจ
ถ้าเป็นผ้าที่ค่อนข้างบาง ถูไถไม่กี่ทีก็เรียบแล้ว
แต่ผ้าหนาๆ อาจจะต้องทำซ้ำหลายๆทีและต้องกดเน้น ๆ หน่อย

อย่างที่บอกไปข้างต้น การทำงานของเครื่องจะเป็นการใช้ไอน้ำร้อนๆ ทำให้เส้นใยผ้ามันฟู ผ้ามันเลยดูไม่ยับ แต่ก็ไม่ได้เรียบเนี๊ยบแบบเตารีดธรรมดา ใครคาดหวังว่าผ้าจะออกมาเรียบกริบเหมือนเอาเต้ารีดร้อน ๆ ทับ อาจผิดหวัง
ไม่แน่ใจเคยเห็นเวลามีการจัดงานตามโรงแรมกันมั๊ย เวลาจะทำให้ผ้าปูโต๊ะ ผ้าคลุมเก้าอี้เรียบแบบเร่งด่วน จะใช้วิธีคล้ายๆกัน
เอากระบอกฟอกกี้มาฉีดน้ำ ฟี๊ดๆ จากนั้นตบๆ ปาดๆ ดึงให้ผ้าตึงๆ พอผ้าแห้ง จากที่ยับๆอยู่ก็ดูเรียบขึ้นมาเยอะเลย

ถามว่าคุ้มค่ามั๊ย คิดว่าโดยส่วนตัวแล้วคุ้มมาก
เพราะส่วนใหญ่ใส่เสื้อยืดหรือเสื้อเชิ๊ตบางๆ
ใช้เจ้าเครื่องนี้รีดแป๊บๆ ก็หายยับแล้ว ไม่ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนใส่เสื้อผ้ายับ ๆ อีกต่อไป

คำนวณง่าย ๆ ถ้าต้องส่งไปให้ร้านซักรีด สมมติตัวละ 25 บาท (นี่คิดแแบบถูกแล้วนะ ราคาแบบนี้หาได้ที่ไหนบอกที) 100 ตัวก็ 2,500 บาท เกินราคาค่าเครื่องมาแล้ว
สมมติเปลี่ยนเสื้อวันละ 2 ตัว ในระยะเวลา 3 เดือนนิดๆ ก็ใช้เครื่องเกินราคาแล้ว

แต่อาจจะต้องระวังตอนรีดหน่อย
เพราะด้วยความที่เครื่องมันทำงานด้วยการพ่นไอน้ำร้อนๆ ถ้าใช้ไม่ระวังอาจจะโดนไอน้ำลวกเอาได้
เพราะขนาดเอาถุงมือที่แถมมากับไมโครเวฟมาใช้ ความร้อนของไอน้ำยังแอบทะลุทะลวงมาโดนนิ้ว
คิดว่าคงต้องกลับไปทวงถุงมือแบบที่พนักงานใช้สาธิตให้ดู เพราะนางดูไม่สะทกสะท้านกับความร้อนของไอน้ำเลย รีดสาธิตให้ดูแบบชิลๆ เหมือนฝึกฝ่ามืออรหันต์ทนไฟมาแล้ว
ไม่แน่ใจว่าลืมแถมมาให้ หรือแถมเฉพาะรุ่นแพงๆก็ไม่รู้