กำลังใจ สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

หลายปีก่อนฉันต้องลาออกจากงานทั้งที่กำลังไปได้ดีเพราะได้รับข่าวร้ายจากที่บ้าน
แม่เดินหกล้มก้นกบกระแทกพื้น จนทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อนไปทับเส้นประสาท ไม่สามารถเดินได้
ถือเป็นข่าวร้ายของทุกคนในครอบครัว

ตอนนั้นพอรู้ข่าวก็รีบกลับบ้านทันที ตอนไปถึงแม่ออกจากห้องผ่าตัดแล้ว
และกำลังฟื้นตัวจากยาสลบ
แม่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ เราคนเป็นลูกพอได้ไปเห็นแบบนั้นก็ใจสลาย อยากจะแบ่งความเจ็บของแม่มาไว้ที่ตัวเอง โมโหพ่อที่ทำไมทนดูแม่ร้องเจ็บแบบนี้ ทั้งที่สามารถขอมอร์ฟีนเพื่อระงับอาการปวดจากหมอได้ 
แต่พ่อให้เหตุผลว่า ถึงแม่จะเจ็บแต่ก็คงต้องปล่อยให้เจ็บไปก่อน เพราะเพิ่งออกจากห้องผ่าตัด หมอสั่งเด็ดขาดว่าห้ามแม่ขยับตัวเด็ดขาด
ถ้าให้มอร์ฟีนไปแล้วแม่ไม่รู้สึกเจ็บ ถ้าเกิดเผลอขยับตัวขึ้นมา เส้นประสาทอาจจะเคลื่อน กลายเป็นอัมพาตถาวร
ได้ฟังแบบนั้นก็ใจหาย รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ไม่คิดว่าจะซีเรียสร้ายแรงขนาดนี้ 

โชคดีที่ได้อาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญเรื่องกระดูกมาดูแลเคสให้ แต่หลังจากการผ่าตัดอาจารย์หมอก็ไม่กล้ารับประกันผลการผ่าตัด ด้วยความที่ท่านสนิทกับที่บ้าน จึงบอกแต่เพียงว่าโอากาสหายมี แต่ไม่มาก แม่อาจจะเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต ให้ทุกคนเผื่อใจและเตรียมแผนรองรับไว้ เพราะการดูแลผู้ป่วยเคสแบบนี้เป็นเรื่องยาก ไม่ใช่ยากตรงขั้นตอนการดูแลผู้ป่วย แต่เป็นการยากที่จะดูแลจิตใจผู้ป่วย ลองคิดดูจากคนที่เดินเหินได้ตามปกติ อยู่ดีๆกลับต้องนอนอยู่บนเตียงไปตลอด ขยับไปไหนก็ไม่ได้ กิจกรรมทุกอย่างต้องทำอยู่บนเตียงเท่านั้น ไม่ว่าจะกินไปจนถึงขับถ่ายทั้งหนักเบา คิดดูสภาพจิตใจจะเป็นอย่างไร

 หลังจากผ่าตัด แม่ต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่หลายวัน จากนั้นต้องพักรักษาตัวที่บ้านอีกหลายเดือน อาจารย์หมอกำชับเป็นพิเศษแบบย้ำแล้วย้ำอีกว่าแม่ต้องนอนนิ่ง ๆ เท่านั้น ขยับตัวให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะแม่อายุเยอะแล้ว กระดูกไม่แข็งแรงเหมือนวัยรุ่น การฟื้นตัวจึงเป็นไปได้ช้า และจะกลับมาเดินได้อีกครั้งหรือไม่ก็อยู่ตรงขั้นตอนการพักฟื้นนี่แหละ 

การดูแลแม่ถือเป็นงานที่หนัก แต่เราไม่เคยคิดว่าเป็นภาระเลย ญาติหลายคนออกความเห็นให้จ้างพยาบาลมาดูแลเป็นพิเศษ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของที่บ้าน ไม่เห็นต้องลาออกจากงานเลย ญาติ ๆ สามารถช่วยกันผลัดเปลี่ยนมาดูแลแม่ได้ ตามสมควร

เราไม่เห็นด้วยแบบนั้น เพราะดูจากตอนที่อยู่โรงพยาบาล ขณะที่เราช่วยแม่ทำธุระส่วนตัวบนเตียง แม่จะร้องเจ็บอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่หากพยาบาลช่วย แม่จะกัดฟันแล้วน้ำตาไหล คิดว่าด้วยความที่แม่เป็นคนขี้เกรงใจ คงไม่กล้าร้องบอกพยาบาล เลยได้แต่กลั้นความเจ็บเอาไว้ กลัวพยาบาลจะไม่ดูแล 
อีกอย่างให้คนอื่นมาดูแลแม่เรา เค้าจะดูแลดีแบบที่เราทำมั๊ย 

สุดท้ายเราตัดสินใจลาออกจากงาน มาดูแลแม่ขณะพักฟื้นแบบเต็มที่ ช่วงแรกแม่มีกำลังใจดี เพราะญาติ ๆ ผลัดกันมาเยี่ยมแบบไม่ขาดสาย แต่เรารู้เลยว่าลึกๆ แล้วแม่ไม่ค่อยอยากให้ใครมาเห็นสภาพในตอนนั้น เพราะถึงแม้ว่าแม่จะเป็นคนไม่ห่วงความสวย แต่คงไม่อยากให้คนเห็นสภาพที่นอนบนเตียงโดยขยับไปไหนไม่ได้แน่ ๆ แถมยังต้องทำธุระส่วนตัวทั้งหนักเบาบนเตียง 

ช่วงหลังของการพักฟื้น สุขภาพจิตแม่เลวร้ายลงมาก จากคนที่มองโลกในแง่ดี ยิ้มง่าย ร่าเริง แจ่มใส แม่กลายเป็นคนโมโหร้าย หงุดหงิด เพราะต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา ขยับไปไหนไม่ได้ 

แม่ชอบอ่านหนังสือ เราก็หาหนังสือมาให้แบบแทบจะยกห้องสมุดมาตั้งไว้ที่บ้าน แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก จนต้องหาอะไรใหม่ ๆ มาให้แม่ทำอยู่เสมอเพื่อคลายความเครียด 
ถึงขั้นลงทุนไปซื้อกรรไกรตัดผมแล้วมาให้แม่ตัดให้ 
ในขณะที่แม่ตัดไปแม่ก็บ่นไป ว่าทำไมไม่ไปตัดที่ร้าน เดี๋ยวผมก็แหว่งหรอก แต่เราแอบเห็นรอยยิ้มแบบมีความสุขของแม่

สุดท้ายแล้ว ด้วยการทำตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด และจิตใจอันเข็มแข็งของแม่ รวมไปถึงกำลังใจที่ส่งให้เรื่อย ๆ อย่างไม่ขาดสาย ทำให้อาการของแม่ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ จากที่ต้องนอนบนเตียงโดยไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้ ก็สามารถลุกขึ้นนั่ง แต่ต้องใส่เกราะดามหลังไว้ 

หลังจากนั้นไม่นานอาจารย์หมอก็ให้แม่ลุกเดินได้ แต่ยังคงต้องใส่เกราะดามหลังไว้ และใส่ตลอดเวลาเป็นระยะเวลา 1 ปี จนกว่าผลวินิจฉัยออกมาว่ากระดูกตรงที่มันหักไปฟื้นตัว 100% แล้ว 
แม่บ่นตลอดว่าอึดอัด เพราะแม่เป็นคนตัวใหญ่ แต่แม่ก็ทำตามคำแนะนำของอาจารย์หมออย่างเคร่งครัด 

ถือเป็นเรื่องร้าย ๆ ในอดีตที่ช่วยพิสูจน์ให้เห็นถึงความรักที่ครอบครัวช่วยกันฝ่าฟันจนผ่านพ้นไป 
ปัจจุบันแม่แข็งแรงเหมือนเดิม กลับมาเดินได้ตามปกติ ทำงานได้ตามปกติ และใช้ชีวิตได้แบบปกติ โดยไม่ต้องใส่เกราะดามหลังอีกต่อไป
ล่าสุดเพื่อนที่คบกันมานานเป็นสิบปี มีอาการคล้ายกันกับแม่ ต้องนอนบนเตียงและขยับตัวไปไหนไม่ได้ และต้องใช้เกราะดามหลัง ต่างกันตรงที่อาการของแม่เกิดจากอุบัติเหตุ แต่อาการของเพื่อนเป็นเหตุที่อยู่ดี ๆ ก็อุบัติขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว 

เพื่อนบอกว่าตื่นขึ้นมาก็ไม่สามารถขยับขาได้ และอวัยวะช่วงล่างตั้งแต่เอวลงไปไม่มีการตอบสนอง ภาพของแม่ในความทรงจำย้อนกลับมาทันที ถือว่าเพื่อนคนนี้กำลังเจอบททดสอบอันยิ่งใหญ่ของชีวิต 
เพื่อนคนนี้ใช้ชีวิตแบบทำทุกวันให้เต็มที่ เค้าเคยบอกกับเราเองว่า ไม่รู้อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นมีความสุขกับวันนี้และทุก ๆ วัน โดยอย่าคิดว่าต้องรออะไร 

เพื่อนอยู่ในการดูแลของหมอที่เชี่ยวชาญและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี กำลังใจที่ส่งให้เพื่อนมีอย่างล้นหลาม เพราะเพื่อนคนนี้เป็นที่รู้จักของผู้คนมากมาย และเป็นที่รักของใครหลาย ๆ คน 
คิดว่าความช่วยเหลือทางการแพทย์ทั้งหลายเราคงช่วยอะไรเพื่อนไม่ได้แล้ว เพราะหมอได้ทำเต็มที่เต็มความสามารถอย่างดีที่สุดไปแล้ว

ใจนึงอยากไปเยี่ยมเพื่อนเหลือเกิน อยากไปสัมผัส จับมือ แล้วบอกกับเพื่อนต่อหน้าว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างต้องดีขึ้น แต่เพื่อนเป็นคนรักสวยรักงาม เพราะฉะนั้นการไปเจอเพื่อนในสภาพนั้น คิดว่าลึก ๆ แล้วเพื่อนคงไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง เพราะไม่ใช่เพียงเรื่องความสวยความงามเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของกิจวัตรต่าง ๆ ประจำวันที่ต้องทำด้วยความไม่สะดวกเหมือนคนปกติทั่วไป 

เพื่อนคนนี้รู้จักกันมานานจนเรียกได้ว่ารู้ใจกันไปแล้ว 
ไม่ได้เป็นแค่เพื่อน แต่เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นเหมือนสมาชิกของครอบครัว
ถึงแม้บางโอกาส บางช่วงเวลา อาจจะห่างหาย ขาดการติดต่อไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม
แต่ท้ายที่สุดเราก็กลับมารักและเข้าอกเข้าใจกันเหมือนเดิม 
เชื่อว่าเพื่อนจะมีจิตใจที่เข้มแข็ง และผ่านเรื่องเลวร้ายครั้งนี้ไปได้ในที่สุด
ตัวหนังสือที่เขียนผ่าน blog นี้ เขียนขึ้นเพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อนคนนี้ 
ขอให้มีจิตใจที่เข็มแข็งและมองโลกในแง่ดี และฝ่าฟันไปให้ได้ 
แล้วในที่สุดทุกอย่างจะดีขึ้นเอง 


รักเพื่อน 

ปล. เพื่อนชอบอาหารที่ฉันทำหลายเมนู ทั้งที่เมื่อก่อนเพื่อนเคยแอบไม่เชื่อ หาว่าเราซื้อมาจากร้าน แล้วแกะใส่จาน จัดฉากสำหรับถ่ายรูปอวดชาวบ้านเท่านั้น หลัง ๆ มา เพื่อนเอ่ยปากอยากจะชิมฝีมืออีก แต่ฉันก็ได้แต่บ่ายเบี่ยงด้วยความที่งานเยอะและขี้เกียจ แต่เชื่อว่าหลังจากเพื่อนหายดี ฉันคงไม่กล้าบ่ายเบี่ยงอะไรอีกแล้ว เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง การได้ทำอาหารให้คนที่เรารัก ถือเป็นความสุขอีกอย่างหนึ่ง เป็นความสุขที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องรออะไรเลย







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น